เมดพาร์ค ชี้เทรนด์เฮลท์เทค ตอบโจทย์สังคมสูงวัย เร่งปั้น Wellness ไทยสู่สากล
กรุงเทพฯ, 18 กันยายน 2568 - พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเมดพาร์ค ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ผ่านการเสวนาในประเด็น แนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้านเฮลท์เทค ภายในงาน Global Innovation Forum 2025 ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
Global Innovation Forum 2025 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Global Health Tech towards Innovation Nation เฮลท์เทคไทยมองไกลกว่าสุขภาพ” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองระดับโลก ที่จะร่วมกันผลักดันนวัตกรรมไทยสู่อนาคต โดยภายในงานมีการนำเสนอ 3 ประเด็นหลักที่สำคัญ ได้แก่
- ดัชนีนวัตกรรมโลกประจำปี 2568 และก้าวต่อไปของนวัตกรรมไทย
- แนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้านเฮลท์เทค
- โอกาสและความท้าทายของธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเฮลท์เทคในระดับโลก
ซึ่ง พญ.จามรี ได้แสดงวิสัยทัศน์และนำเสนอความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น และมีผลกระทบกับวงการเฮลท์เทคไทยอย่างแน่นอน
“Healthcare คือส่วนประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องสำคัญที่น่าเป็นกังวลคือ อายุของประชาคมโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว ซึ่งสังคมสูงอายุของไทยนั้นเป็นสังคมสูงวัยในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (Middle Income Country) ซึ่งแตกต่างจากประเทศอย่างญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยที่มีรายได้สูง ผู้สูงอายุในไทยจะพบเจอปัญหาคือ อายุเยอะด้วย และมีปัญหาเรื่องการเงินด้วย ดังนั้น ในด้าน Healthcare จึงต้องเร่งวางแผนว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยเหลือให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตอนแก่โดยที่ยังแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย”
เมื่อถูกถามว่า ประเทศไทยจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็น Global Player หรือผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในระดับโลก พญ.จามรี ได้ให้ความเห็นสำคัญไว้ว่า
“เป้าหมายของไทยในการเป็น Medical Hub ประเทศไทยสามารถทำได้ดี เราสามารถทำการรักษาได้ในระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และควรพัฒนาต่อไป แต่ในขณะเดียวกันควรทำความเข้าใจว่า สุขภาพ (Health) และ สุขภาวะ (Wellness) เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ละเรื่องมีเทรนด์เป็นของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน”
“ในด้านสุขภาพ สิ่งสำคัญคือเทคโนโลยี ซึ่งไทยไม่ได้เป็นผู้นำในด้านนี้ ไทยเป็นผู้โอบรับเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ Medical Hub ที่ถึงแม้จะสามารถสร้างเม็ดเงินได้เยอะจริง แต่จะมีส่วนที่ไหลออกจากประเทศเพราะไทยยังจำเป็นจะต้องซื้อเทคโนโลยี หรือยาสำคัญบางชนิดจากต่างประเทศอยู่ ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรเสริมในด้าน Wellness อย่างจริงจังให้สามารถเห็นผลลัพธ์ จับต้องได้ และหลากหลายแขนงมากยิ่งขึ้น เพราะ Wellness ไม่ได้มีแค่การนวด สปา หรือแค่ผ่อนคลาย แต่จริง ๆ แล้วมีองค์ประกอบอีกหลากหลายด้าน และควรจะสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และสามารถเข้าถึงได้ในระดับชุมชน ควรรีบทำให้เกิด Thailand Holistic Wellness สร้างแบรนด์ของไทยที่ได้มาตรฐาน สามารถวัดผลและจับต้องได้ ให้แพร่หลายสู่สากล”
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในประเด็นเสวนาที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น เรื่องของการพลิกโฉมวงการสาธารณสุขด้วย Quantum Computing และ AI โดย นายธเนศ บุญคุณศักดิ์ Business Technology Leader บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย และการมาถึง Longevity Economy เพื่อตอบรับกระแสของผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยนาย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด รวมถึงอีกประเด็นคือ โอกาสและความท้าทายของธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเฮลท์เทคในระดับโลก ที่เสวนาโดย ศ.ดร.นพ. ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช นายธนกฤต ประสิทธิภาพ กรรมการสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย และ พญ. เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่ได้ร่วมกันเสวนาและแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างน่าสนใจ