สาเหตุ อาการ การรักษาโรคออทิสติก - Autism spectrum disorder (ASD) Causes, Symptoms and Treatments

ออทิสติก (ASD)

ออทิสติก (Autism spectrum disorder: ASD) คือ กลุ่มอาการที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร การเข้าสังคม การมีความสนใจซ้ำ หรือมีรูปแบบการกระทำเป็นแบบแผนจำกัดในเรื่องเดิม

แชร์

เลือกหัวข้อที่อ่าน


ออทิสติก (Autism spectrum disorder : ASD)

ออทิสติก (Autism spectrum disorder) คือ กลุ่มอาการที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร การเข้าสังคม การมีความสนใจซ้ำ หรือมีรูปแบบการกระทำเป็นแบบแผนจำกัดในเรื่องเดิม โรคออทิสติกสามารถสังเกตเห็นอาการได้ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเด็กออทิสติกจะมีพัฒนาการล่าช้า พูดช้า มีความยากลำบากในการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน โดยหากเด็กได้รับการบำบัดรักษาทางการแพทย์อย่างเหมาะสมเป็นระบบตั้งแต่ในระยะแรกเริ่ม จะช่วยให้เด็กที่เป็นโรคออติสติกมีพัฒนาการการเรียนรู้และการเข้าสังคมที่ดีขึ้นได้

ออทิสติก มีสาเหตุเกิดจากอะไร

ออทิสติก มีสาเหตุเกิดจากหลากหลายปัจจัย แม้ในปัจจุบันแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจหาสาเหตุการเกิดของโรคได้อย่างชัดเจน แต่จากงานวิจัยจำนวนมากสนับสนุนว่าปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมล้วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะออทิสติก

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม (Genetics) ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกราว 10 - 20% พบความผิดปกติที่ส่วนจำเพาะของโครโมโซม หรือยีนส์ ซึ่งตรงกับโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโครโมโซมเอ็กซ์เปราะ (Fragile X syndrome) หรือเร็ทท์ ซินโดรม (Rett syndrome) นอกจากนี้ ยังพบอัตราการเป็นออทิสติกที่สูงขึ้นในพี่น้องฝาแฝด หรือพี่น้องที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก ทั้งยังพบความเสี่ยงสูงในการเป็นออทิสติกในลูกที่พ่อและ/หรือแม่ที่มีอายุมากอีกด้วย
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental factors) เป็นปัจจัยที่พบว่ามีความเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดออทิสติกในเด็ก โดยมีสาเหตุจากการใช้ยาบางชนิดของมารดาขณะตั้งครรภ์ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ยังพบว่าการสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก มลพิษทางอากาศ PM2.5 หรือไนโตรเจนไดออกไซด์ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดออทิสติกได้

Autism Spectrum Banner 2

อาการของโรคออทิสติก เป็นอย่างไร

อาการของเด็กที่เป็นโรคออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสติกสเปกตรัม (Autistic spectrum) แตกต่างกันไปในรายละเอียดของความบกพร่องและระดับความรุนแรงของอาการ ทั้งยังขึ้นกับระดับเชาว์ปัญญาและโรคร่วมอื่น ๆ ทำให้เด็กที่เป็นออทิสติกมีอาการแสดงที่แตกต่างกันออกไป โดยอาการแสดงของเด็กที่เป็นออทิสติกแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่

  1. ความบกพร่องทางด้านภาษาและการสื่อสาร และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ได้แก่
    • ความบกพร่องทางด้านภาษาและการสื่อสาร
      • มีความยากลำบากในการใช้คำพูดและภาษาท่าทางร่วมกัน
      • เริ่มพูดช้า หรือยังไม่พูดเมื่อถึงวัยที่เด็กส่วนใหญ่เริ่มพูด
      • พูดซ้ำ ๆ พูดวนไปวนมา พูดทวนคำที่คุณพ่อ คุณแม่หรือคุณครูพูด
      • พูดหรือออกเสียงที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจ พูดไม่ชัด
      • ไม่สามารถสนทนาได้อย่างต่อเนื่องจนจบความ
    • การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
      • ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนหรือผู้อื่น ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้
      • ไม่สบตา ไม่ยิ้มให้ หรือยิ้มตอบ ไม่ทักทาย ไม่แสดงออกทางสีหน้า
      • หากอยากได้อะไรไม่ชี้นิ้วบอก แต่จะร้องไห้และดึงมือผู้ใหญ่ไปที่สิ่งนั้นแทน
      • ทำตามคำสั่งง่าย ๆ ไม่ได้
      • ไม่แบ่งปันสิ่งที่ตนสนใจกับผู้อื่น ชอบเล่นคนเดียว ไม่ชอบทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
      • เวลาเรียกชื่อแล้วไม่หันมามองตามเสียงเรียก ไม่สบตา หรือสบตาน้อยมาก
      • ไม่สนใจฟังเวลาพูดด้วย เฉยเมย ไม่แสดงอารมณ์
      • ชอบเล่นกับสิ่งของมากกว่าเล่นกับคน
      • ไม่เข้ามาคลุกคลี สัมผัสกับผู้ปกครอง คุณครู หรือเพื่อน ๆ
      • ไม่รู้จักการใช้งานของสิ่งของ เช่น นำของเล่นมาดมหรือเลียแทนที่จะนำมาเล่น
      • ไม่ชอบเล่นกับเพื่อน ไม่ชอบเล่นตามจินตนาการ ไม่ชอบเล่นบทบาทสมมติ เช่น พ่อ แม่ ลูก
      • มักมีปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคุณครู ไม่มีเพื่อนสนิท
      • ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสิ่งแวดล้อมที่เข้าร่วมได้
  2. มีพฤติกรรมเป็นแบบแผน หรือมีความสนใจซ้ำ ๆ จำกัดในเรื่องเดิม
    • ชอบทำกิจกรรมเดิมซ้ำ ๆ วนไปวนมา หากถูกบังคับให้เปลี่ยนพฤติกรรมจะหงุดหงิดอาละวาดทันที
    • ร้องไห้หากต้องทำในสิ่งที่ไม่สนใจ หรือเมื่อเจอกับบุคคลที่ไม่คุ้นเคย
    • ชอบเล่นซ้ำ ๆ มองสิ่งที่สนใจซ้ำ ๆ โดยจะสนใจในรายละเอียดของสิ่งของเป็นอย่างมาก
    • ชอบเรียงสิ่งของให้เป็นระเบียบ หรือเรียงเป็นแถวยาวต่อ ๆ กัน
    • ยึดติดกับความคิด สถานที่ หรือการกระทำเดิม ๆ เช่น ต้องนั่งทานข้าวที่เดิมเสมอ
    • ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อประสาทสัมผัสสิ่งเร้า แสง สี เสียง ผิวสัมผัส อุณหภูมิ เช่น อาจตอบสนองหรือไม่ตอบสนองต่อความเจ็บปวด ไม่ตอบสนองต่ออากาศร้อนหรือเย็น หรือในทางตรงกันข้ามคือมีการตอบสนองมากกว่าปกติ
    • แสดงออกซึ่งสิ่งที่ไม่ชอบอย่างรุนแรง เช่น ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าพอดีตัว ไม่ชอบให้จู้จี้จุกจิก
    • หมกมุ่นหรือสนใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษ เช่น หลงใหลในวัตถุที่มีแสงหรือมีการเคลื่อนไหว เช่น ของเล่นที่มีไฟกระพริบ มีแสงวับวาว ของเล่นที่มีล้อหมุน เช่น รถของเล่น หรือพัดลม
    • ชอบกระโดด ชอบกระพือแขน เขย่งเท้า สะบัดมือซ้ำ ๆ

Autism  Banner 5

การวินิจฉัยออทิสติก มีวิธีการอย่างไร

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคออทิสติกโดยการซักประวัติพฤติกรรมของเด็กจากคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองเป็นหลัก และอาจรวมถึงคุณครูที่โรงเรียน ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจหาความผิดปกติ โดยแพทย์จะใช้วิธีการตรวจสอบ ดังนี้

  • สังเกตการตอบสนองเวลาเรียกชื่อ สังเกตการมองหน้า การสบตา การยิ้มตอบ หรือการหันหน้ามามองตามเสียงเรียก
  • สังเกตถึงการถามคำถามซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่สนใจ
  • ไม่สามารถชี้นิ้วบอกความต้องการได้
  • การทดลองเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเพื่อตรวจดูสภาพอารมณ์ หากแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ
  • การสังเกตพฤติกรรมขณะเล่นว่าชอบเล่นคนเดียว หรือชอบเล่นรวมกันเป็นกลุ่มกับเพื่อน
  • สังเกตความสนใจที่หมกมุ่นกับของเล่นบางอย่างมากผิดปกติ
  • สังเกตรูปแบบการพูดวกวนสลับไปมา พูดซ้ำ ๆ พูดด้วยโทนเสียงที่แปลก หรือพูดด้วยภาษาของตนเอง

โดยแพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกโรค เช่น ตรวจการได้ยินเพื่อแยกภาวะการได้ยินบกพร่อง ทั้งนี้ ยิ่งเด็กที่เป็นโรคออทิสติกได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคได้เร็วและเข้ารับการบำบัดรักษาแบบผสมผสานร่วมกันกับแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเป็นระบบ ก็จะยิ่งช่วยให้เด็กที่เป็นออทิสติกมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเข้าสังคมที่เป็นปกติได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น

ออทิสติกมีกี่ระดับ

ออทิสติกมีเกณฑ์การวินิจฉัยแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรงของอาการและความต้องการในการช่วยเหลือสนับสนุน ตั้งแต่ระดับอาการน้อยจนถึงอาการมาก มีความแตกต่างกันทั้งในด้านเชาว์ปัญญาตั้งแต่ระดับ IQ สูงจนถึงต่ำ ไล่ระดับลดหลั่นกันไปเหมือนเฉดสีของรุ้งกินน้ำ จึงเรียกแนวคิดในการวินิจฉัยโรคออทิสติกให้เป็นแบบ Spectrum โดยออทิสติกทั้ง 3 ระดับ มีดังนี้

  • ระดับที่ 1 ต้องการการช่วยเหลือสนับสนุน (Requiring support) สามารถสังเกตเห็นถึงความบกพร่องในการสื่อสารได้อย่างชัดเจน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อย ไม่มีความยืดหยุ่นในการทำกิจวัตรประจำวัน มีปัญหาในการวางแผนและการจัดการที่เป็นระบบ ทำให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต และต้องการการสนับสนุนช่วยเหลือ
  • ระดับที่ 2 ต้องการการสนับสนุนและช่วยเหลือมาก (Requiring substantial support) มีความบกพร่องในการสื่อสารทั้งในการใช้คำพูดและการใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเลย มีการตอบสนองต่อบุคคลน้อยมาก มีวิธีการสื่อสารแปลก ๆ มีความสนใจจำกัด มีปัญหาในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง มีพฤติกรรมทำซ้ำ ๆ จนเห็นได้ชัด
  • ระดับที่ 3 ต้องการการช่วยเหลือสนับสนุนอย่างสูงมาก (Requiring very substantial support) มีความบกพร่องในการสื่อสารทั้งในการใช้คำพูดและการใช้ท่าทางในการสื่อความหมายอย่างรุนแรง มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยมาก ๆ พูดน้อยมาก ๆ แสดงออกอย่างก้าวร้าวรุนแรงเมื่อถูกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มักทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก

ออทิสติกเทียม คืออะไร

ออทิสติกเทียม (Virtual autism) คือ อาการที่เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสมทั้งในเรื่องการเรียนรู้หรือการเล่น ทำให้เด็กมีพัฒนาการล่าช้า ไม่เป็นไปตามวัย โดยเด็กที่เป็นออทิสติกเทียมจะมีอาการคล้ายกันกับเด็กที่เป็นออทิสติกแท้หรือออทิสติกสเปกตรัมแต่ไม่ได้มีสาเหตุเกิดจากโรคทางพันธุกรรม หรือเกิดจากความผิดปกติทางโครงสร้างของสมอง แต่เกิดจากการปล่อยให้เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอนานจนเกินไปตั้งแต่ยังเล็ก

จากข้อมูลในปัจจุบัน แพทย์ตรวจพบอาการออทิสติกเทียมในเด็กที่มีพฤติกรรมเริ่มดูจอตั้งแต่ก่อนอายุ 3 ปีหรือเด็กก่อนวัยเรียน (preschool age) ในอัตราที่สูงขึ้น โดยพบว่ายิ่งเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอนานเท่าไหร่ เด็กจะยิ่งมีอาการออทิสติกเทียมมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ แพทย์ยังพบว่าการที่เด็กไม่มีโอกาสได้เล่นกันเป็นกลุ่มกับเด็กคนอื่น ๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่ได้รับการพัฒนาทักษะทางด้านสังคม จนทำให้เด็กมีอาการของออทิสติกเทียมได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากเด็กที่มีอาการออทิสติกเทียมได้รับการปรับพฤติกรรมและรับการกระตุ้นพัฒนาการก็จะทำให้เด็กมีโอกาสหายจากอาการออทิสติกเทียมได้

Autism  Banner 6

การรักษาโรคออทิสติก มีวิธีการอย่างไร

วิธีการรักษาโรคออทิสติกให้มีประสิทธิภาพ คือ การรักษาแบบองค์รวม ผสมผสานร่วมกันกับการบำบัดตามอาการเด่น และยังพิจารณาถึงประเภทของออทิสติกและระดับความรุนแรงในการต้องการความช่วยเหลือสนับสนุน โดยแพทย์จะให้แนวทางการบำบัดโรคออทิสติกทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนกับผู้ปกครองโดยเน้นการกระตุ้นพัฒนาการ การเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและการปรับลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ร่วมกันกับการบำบัดรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการ การเรียนรู้และการสื่อสาร รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้และลดการพึ่งพา ตามแนวทางการบำบัดรักษาดังต่อไปนี้

  • อรรถบำบัด (Speech therapy) หรือการฝึกพูดเพื่อให้จดจำคำศัพท์ ฝึกการเปล่งเสียง การออกเสียง การสร้างประโยค ฝึกวิธีการสื่อสาร วิธีการบอกความต้องการของตนเองกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม
  • การฝึกทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social skills therapy) ฝึกการเข้าหาและตอบสนองกับผู้อื่น ฝึกการสื่อความต้องการของตนเองด้วยการใช้คำพูดหรือท่าทาง เช่น ฝึกการทำความรู้จักกับสมาชิกในบ้าน ฝึกการทำความรู้จักกับคุณครูและเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน ฝึกการเล่นบทบาทสมมุติ หรือการเล่นเป็นกลุ่มกับเพื่อน ๆ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
  • พฤติกรรมบำบัด (Behavioral therapy) เป็นการบำบัดเพื่อหยุดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา พร้อมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม เช่น การให้รางวัล ชมเชย ปรบมือ หรือยิ้มให้เมื่อเด็กสามารถทำตามที่ร้องขอได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังสามารถใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจเด็กเพื่อให้เด็กทำสิ่งอื่นแทน หรือการแสดงการเมินเฉยเมื่อเด็กร้องไห้หรือออกคำสั่ง โดยในการปรับพฤติกรรม ผู้ปกครองควรสื่อสารให้กระชับ เข้าใจง่าย และไม่ควรต่อว่าเด็กหรือทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี
  • กิจกรรมบำบัด (Occupational therapy) แพทย์จะแนะนำให้ฝึกกิจกรรมบำบัด หากตรวจพบพัฒนาการล่าช้าของกล้ามเนื้อมัดเล็กร่วมกันกับการวินิจฉัยออทิสติก โดยการบำบัดนี้เป็นการฝึกการทำกิจกรรมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก รวมถึงการทำงานผสานกันของกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ของร่างกาย
  • การรักษาโดยการให้ยา (Medications) เป็นการรักษาเพื่อปรับสมดุลการทำงานของสารสื่อประสาทส่วนกลางของสมอง เพื่อลดอาการสมาธิสั้น อยู่ไม่นิ่ง พฤติกรรมหมกมุ่น หรือพฤติกรรมก้าวร้าว โดยแม้ว่าการรักษาด้วยยาอาจไม่ได้ทำให้เด็กที่เป็นโรคออทิสติกหายจากอาการ แต่พบว่าช่วยให้เด็กสามารถให้ความร่วมมือในการฝึกเพื่อพัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างเหมาะสม และเมื่อเด็กมีอาการตอบสนองที่เป็นข้อบ่งชี้ในการใช้ยาที่ดี แพทย์จะพิจารณาค่อย ๆ ปรับลดปริมาณยาหรือหยุดให้ยาไปในที่สุด
  • การเสริมสร้างพัฒนาการ (Group-based parent training) เป็นการบำบัดเพื่อฝึกทักษะทางสังคมและอารมณ์โดยความร่วมมือกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองที่บ้าน คุณครูที่โรงเรียน และแพทย์ผู้ชำนาญการที่โรงพยาบาลผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่าเรื่องด้วยภาพ การสื่อสารด้วยการใช้สัญลักษณ์ การเล่นเกมส์ที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายร่วมกับการใช้อุปกรณ์ การเล่นกีฬา ดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด

โรคร่วมที่อาจเกิดควบคู่กับออทิสติก

โรคร่วมที่สามารถพบได้ในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นออทิสติก ได้แก่

  • ปัญหาการนอน (Sleep disorder) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยราว 50-80% ของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก โดยปัญหาการนอนอาจส่งผลกระทบจต่อพฤติกรรมอื่น ๆ ระหว่างวันได้
  • อาการชัก (Seizers) โดยพบว่าเด็กที่เป็นออทิสติกมีความเสี่ยงต่ออาการชักเพิ่มมากขึ้น และจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างเป็นระบบเพื่อควบคุมอาการชัก
  • สมาธิสั้นในเด็ก (ADHD in children) โดยมีอาการเด่นคืออยู่ไม่นิ่ง วอกแวกง่าย ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตนไม่สนใจ ไวต่อสิ่งเร้า สี แสงไฟ ไม่สามารถยับยั้งควบคุมพฤติกรรมตนเองได้
  • ปัญหาทางด้านพฤติกรรม (Behavioral problems) มีความหมกมุ่นในวัตถุหรือของเล่นบางอย่างอย่างมาก ย้ำคิดย้ำทำ แสดงออกซึ่งความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของสิ่งของนั้น มีพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรงและไม่พอใจหากถูกขัดขวางจากสิ่งที่ตนเองหมกมุ่นอยู่ตรงหน้า
  • ความวิตกกังวล (Anxiety) อาจแสดงออกซึ่งความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ต่าง ๆ มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด หรืออาการอื่น ๆ เช่น มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย อาหารไม่ย่อย ปวดศีรษะ หรือนอนไม่หลับ เป็นต้น
  • ภาวะซึมเศร้า (Depression) เมื่อเด็กที่เป็นออทิสติกพบว่าตนเองนั้นมีปัญหาในการสื่อสารและการเข้าสังคม ก็จะทำให้รู้สึกเครียด น้ำหนักตัวเพิ่มหรือลดลงอย่างรวดเร็ว กระสับกระส่าย และมีอาการของคนที่มีภาวะซึมเศร้า หรือโรคอารมณ์สองขั้ว หรือไบโพลาร์ตามมา
  • มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual disability) โดยระมาณ 1 ใน 3 ของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกจะมีพัฒนาการช้ารอบด้าน หรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาร่วมด้วย ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นโรคร่วมของออทิสติกที่ต้องการการสนับสนุนช่วยเหลือจากบุคคลอื่นในการดำรงชีวิตประจำวันมากที่สุด

การป้องกันโรคออทิสติก มีวิธีการอย่างไร

ในปัจจุบัน โรคออทิสติกยังไม่สามารถป้องกันได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์เด็กที่อาจมีภาวะออทิสติกได้โดยวิธีการดังนี้

  • การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรคแฝงทางพันธุกรรมและลดโอกาสในการเป็นพาหะนำโรคสู่ลูกผ่านการตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงสารเสพติดทุกชนิด งดการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการสูดดมควันบุหรี่มือสอง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่มลภาวะเป็นพิษสูง พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของมลพิษทางอากาศ PM2.5 หรือแหล่งสะสมของสารเคมี
  • เมื่อมีอาการเจ็บป่วยควรรีบพบแพทย์
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์

ออทิสติก วินิจฉัยโรคเร็ว บำบัดรักษาโรคไว ใช้ชีวิตเป็นปกติในสังคมได้

ออทิสติกสามารถบำบัดรักษาโรคได้โดยเข้ารับการรักษาร่วมกันกับการกระตุ้นพัฒนาการทางด้านภาษาและการสื่อสาร รวมถึงการเข้าสังคมเพื่อช่วยให้เด็กที่เป็นออทิสติกมีพัฒนาการรอบด้านที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยออทิสติกในเด็กเล็กอาจกระทำได้ยาก ทั้งนี้การสังเกตอาการบ่งชี้ของอออิสติก และรีบนำเด็กมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจประเมินเบื้องต้น และเฝ้าติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิด จะเป็นตัวช่วยให้เด็กได้รับการวินิจโรคและรับการบำบัดรักษาได้เร็วตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยได้เหมือนกับเด็กปกติทั่วไป

จากข้อมูลของสมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics: AAP) มีคำแนะนำให้เด็กที่มีอายุ 9, 18 และ 30 เดือนทุกคน เข้ารับการตรวจคัดกรองพัฒนาการด้วยเครื่องมือมาตรฐานเพื่อช่วยให้สามารถวินิจฉัยออทิสติกและ/หรือพัฒนาการล่าช้าอื่น ๆ โดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้นำเด็กเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กได้รับผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา และเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บทความโดย

    เผยแพร่เมื่อ: 15 พ.ค. 2023

    แชร์

    แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

  • Link to doctor
    พญ. ณิชา ทัศน์ชาญชัย

    พญ. ณิชา ทัศน์ชาญชัย

    • กุมารเวชศาสตร์
    • กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม
    Pediatrics, Pediatrics Development and Behavioral, Pediatrics IQ Test, Pediatrics Developmental Screening and Assessment, Pediatrics Delay Development, Pediatrics Speech and Language Delay, Autistic Spectrum Disorders, ADHD
  • Link to doctor
    พญ. กนกอร จ่างจรูญโรจน์

    พญ. กนกอร จ่างจรูญโรจน์

    • กุมารเวชศาสตร์
    • กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม
    Pediatrics, Development and Behavioral Pediatrics