เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ซีสต์เต้านม เกิดจากสาเหตุอะไร?
- ซีสต์เต้านม มีอาการอย่างไร?
- ซีสต์เต้านมมีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- วิธีการรักษาซีสต์เต้านมมีอะไรบ้าง?
- คำถามที่มักถามบ่อย
- คำแนะนำจากแพทย์ รพ.เมดพาร์ค
ซีสต์เต้านม คืออะไร?
ซีสต์เต้านม (Breast Cysts) คือถุงน้ำในเต้านมที่ไม่เป็นมะเร็ง อาจมีขนาดแตกต่างกัน ตั้งแต่ขนาดเล็กที่คลำไม่พบ ตรวจพบผ่านอัลตราซาวนด์เท่านั้น (microcyst) จนไปถึงขนาดใหญ่ที่สามารถคลำพบได้ มักมีขนาด 1-2 นิ้ว (macrocyst) ในเต้านมอาจมีถุงน้ำได้หลายถุง แต่ซีสต์เต้านมไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม และมักจะไม่พัฒนาไปเป็นโรคร้ายแรง
ซีสต์เต้านม มักพบได้บ่อยในหญิงอายุ 35-50 ปี ที่มีประจำเดือนหรือหมดประจำเดือนแล้วแต่ใช้ฮอร์โมนบำบัด
ซีสต์เต้านม มีกี่ประเภท?
- Simple Breast Cyst เป็นซีสต์ที่เต้านมที่ไม่เป็นมะเร็ง ผนังเรียบ ภายในไม่มีก้อนเนื้อ ราว 90% ของซีสต์เต้านมเป็นซีสต์ชนิดนี้
- Complex Breast Cyst ภายในมีส่วนประกอบของน้ำและส่วนที่เป็นเนื้อ ซึ่งราว 20% อาจกลายเป็นมะเร็งเต้านม แพทย์อาจแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
- Complicated Breast Cyst มีส่วนประกอบของน้ำสีขุ่น รูปร่างไม่ชัดเจน แพทย์อาจใช้เข็มเจาะดูดน้ำเอาเซลล์ไปตรวจเนื้อเยื่อ และติดตามอาการในอีก 6 เดือน มีโอกาสน้อยกว่า 2% ที่ซีสต์เต้านมชนิดนี้จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
ซีสต์เต้านม เกิดจากสาเหตุอะไร?
เต้านมของคนเรา ประกอบไปด้วยกลีบต่อมเนื้อเยื่อ ที่มีรูปร่างเหมือนกลีบดอกเดซี่ โดยแต่ละกลีบ (lobe) จะประกอบไปด้วยกลีบขนาดเล็ก (lobule) ทำหน้าที่ผลิตน้ำนมเมื่อตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร รอบ ๆ กลีบเหล่านี้คือไขมันและเนื้อเยื่อเส้นใย ซึ่งทำให้เต้านมมีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย
ซีสต์เต้านม เกิดจากการสะสมของน้ำในต่อมเต้านม ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในรอบเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนอาจกระตุ้นการสร้างน้ำในต่อมเต้านม ทำให้เกิดซีสต์ นอกจากนี้ ซีสต์เต้านมยังอาจเกิดขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือนหรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์หรือการใช้ยาฮอร์โมน
ซีสต์เต้านมมีอาการอย่างไร?
- สัมผัสได้ว่ามีก้อนนุ่มหรือแข็งในเต้านม ซึ่งอาจเคลื่อนย้ายได้เมื่อกดหรือสัมผัส
- รู้สึกเจ็บหรือคัดเต้านมก่อนมีประจำเดือน
- ซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นก่อนมีประจำเดือนและมีขนาดเล็กลงหลังมีประจำเดือน
- อาจพบว่ามีของเหลวใสหรือสีเหลืองออกมาจากหัวนมในบางกรณี
มีซีสต์ที่เต้านม ควรพบแพทย์เมื่อไร?
หากคลำพบก้อนที่เต้านมที่ไม่หายไปภายใน 1-2 เดือน ก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือผิวบริเวณเต้านมมีลักษณะเปลี่ยนไป ควรไปพบแพทย์
ภาวะแทรกซ้อนของซีสต์เต้านมคืออะไร?
ซีสต์เต้านมไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่มีความเป็นไปได้ที่ซีสต์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น กดเจ็บ ติดเชื้อ หรือจำเป็นต้องเจาะดูดชิ้นเนื้อไปตรวจ
ซีสต์เต้านม มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
การซักประวัติและตรวจร่างกาย
แพทย์จะซักถามอาการและตรวจร่างกายเพื่อดูว่ามีความผิดปกติที่เต้านมหรือไม่ หากแพทย์คลำพบก้อนในเต้านมได้ทันที แพทย์อาจใช้เข็มเจาะระบายน้ำออกจากซีสต์โดยไม่ต้องอัลตราซาวน์หรือแมมโมแกรม
รังสีวินิจฉัย
- แมมโมแกรม สามารถตรวจพบซีสต์ขนาดใหญ่หรือซีสต์ขนาดเล็กที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน แต่ไม่สามารถตรวจพบซีสต์ที่มีขนาดเล็กมากได้
- อัลตราซาวนด์ สามารถตรวจได้ว่ามีถุงน้ำหรือก้อนที่เต้านมหรือไม่ บริเวณเนื้อเยื่อที่มีน้ำอาจหมายถึงซีสต์เต้านม บริเวณที่เป็นเนื้อเยื่อหนาอาจเป็นก้อนที่ไม่เป็นมะเร็ง เช่น เนื้องอกเต้านมชนิดไม่เป็นมะเร็ง แต่บริเวณที่เป็นก้อนแข็งอาจเป็นเนื้องอกมะเร็ง แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติม
การใช้เข็มเจาะดูดเซลล์ไปตรวจ (Fine-needle Aspiration: FNA)
แพทย์จะสอดเข็มที่นำทางโดยอัลตราซาวนด์เข้าไปในก้อนที่หน้าอกและดูดตัวอย่างเซลล์ออกมา หากก้อนยุบหายไปหลังจากใช้เข็มเจาะ แสดงว่าก้อนดังกล่าวเป็นซีสต์หรือถุงน้ำ
- หากของเหลวในซีสต์เต้านมไม่มีส่วนประกอบของเลือด มีสีน้ำตาลอ่อนเหมือนฟางข้าวและก้อนยุบหายไปหลังหัตถการ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจหรือการรักษาใด ๆ เพิ่มเติม
- หากของเหลวในซีสต์เต้านมมีส่วนประกอบของเลือด และก้อนไม่หายไป แพทย์จะส่งตัวตัวอย่างเซลล์ที่เก็บมาไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
- หากไม่มีของเหลวในตัวอย่างเซลล์ แสดงว่าเป็นก้อนเนื้อ ไม่ใช่ซีสต์เต้านม แพทย์จะให้เข้ารับการตรวจด้วยรังสีวินิจฉัย เพื่อตรวจดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
วิธีการรักษาซีสต์เต้านมมีอะไรบ้าง?
ส่วนใหญ่แล้วซีสต์เต้านมชนิดไม่เป็นมะเร็งจะสามารถหายไปได้เอง หากผู้ป่วยมีอาการปวด แพทย์อาจเจาะเพื่อระบายของเหลวออก หากซีสต์เต้านมกลับมาและมีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัด
- การใช้เข็มเจาะดูดน้ำในซีลท์ออก (Needle Aspiration)
เป็นทั้งวิธีการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้พร้อมกัน สำหรับซีสต์ที่มีขนาดใหญ่แพทย์อาจต้องดูดของเหลวออกมาหลายครั้ง ทั้งนี้ซีสต์เต้านมอาจกลับมาได้อีกหรือเกิดขึ้นใหม่ เนื่องจากเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน หากซีสต์โตขึ้นหรือไม่หายไปหลังมีประจำเดือน 2-3 ครั้ง ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม - การใช้ฮอร์โมน
การรับประทานยาคุมกำเนิดสามารถลดการเกิดซีสต์เต้านมได้ แต่แพทย์มักแนะนำให้แก่ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น เนื่องจากยาอาจส่งผลข้างเคียง นอกจากนี้การหยุดฮอร์โมนบำบัดหลังเข้าสู่วัยทองยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดซีสต์เต้านมได้ - การผ่าตัด
การผ่าตัดมักเป็นทางเลือกสุดท้าย มักแนะนำในผู้ที่มีซีสต์เต้านมบ่อย ๆ หรือมีเลือดในซีสต์เต้านม หรือมีสัญญานเตือนที่น่ากังวล
ซีสต์เต้านม มีวิธีป้องกันอย่างไร?
ซีสต์เต้านมป้องกันไม่ได้ แต่การหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองหรือการเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมประจำปี ก็สามารถช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ดูแลตนเองที่บ้านเมื่อเป็น ซีสต์เต้านม
- สวมใส่เสื้อชั้นในที่ช่วยพยุงหน้าอก
- ประคบร้อนหรือประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดหรือคัดเต้านม
- หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟหรือช็อกโกแลต แล้วลองสังเกตดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
- รับประทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์แนะนำ เช่น ยาพาราเซตามอล หรือ ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน หรือ นาพรอกเซนโซเดียม
การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์
- จดบันทึกอาการที่มี วันสุดท้ายที่มีประจำเดือน ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังรับประทาน รวมถึงคำถามที่ต้องการถามแพทย์ เช่น
- สาเหตุของซีสต์ที่เต้านมคืออะไร?
- ซีสต์เต้านมจะกลายเป็นมะเร็งหรือไม่?
- จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?
- วิธีการรักษาที่เหมาะสมคืออะไร?
- เตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่แพทย์มักจะถาม เช่น
- เริ่มสังเกตเห็นว่ามีก้อนหรือซีสต์ที่เต้านมเมื่อไร?
- ก้อนหรือซีสต์ที่เต้านมมีขนาดเปลี่ยนไปหรือไม่?
- มีอาการอะไรบ้าง?
- มีอาการในหน้าอกข้างเดียวหรือสองข้าง?
- เจ็บหน้าอกบ้างหรือไม่?
- มีของเหลวไหลออกมาจากหัวนมหรือไม่?
- เข้ารับการตรวจแมมโมแกรมครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
- คนในครอบครัวมีประวัติมีก้อนหรือซีสต์ที่เต้านมหรือไม่?
- เคยมีซีสต์หรือก้อนในเต้านม มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม หรือเคยได้รับการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจมาก่อนหรือไม่?
คำถามที่มักถามบ่อย
- ซีสต์เต้านมอันตรายหรือไม่ หายได้เองหรือไม่?
ซีสต์เต้านมพบได้บ่อยในผู้หญิง และสามารถหายได้เอง ผู้ป่วยสามารถตรวจเต้านมด้วยตนเองและเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมประจำปี - หากมีซีสต์เต้านม จำเป็นต้องได้รับการรักษาหรือไม่?
หากซีสต์เต้านมมีขนาดเล็กและไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ แพทย์อาจไม่แนะนำให้ทำอะไรเพิ่มเติม เพราะซีสต์เต้านมอาจหายได้เอง หากซีสต์เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณเต้านม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้เข็มเจาะระบายของเหลวออก - ซีสต์เต้านมเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งหรือไม่?
โอกาสที่ซีสต์เต้านมจะพัฒนาไปเป็นมะเร็งนั้นน้อยมาก Simple Cyst ไม่เป็นมะเร็งและ 90% ซีสต์เต้านมเป็นซีสต์ประเภทนี้
Complicated Cyst ที่มีโอกาสพัฒนาไปเป็นมะเร็งน้อยกว่า 2% และ 14% - 23% Complex Cyst เท่านั้นที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง - ซีสต์เต้านมจะกลายเป็นเนื้องอกหรือไม่?
เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดกันบ่อย แต่ซีสต์เต้านมจะไม่กลายเป็นเนื้องอก
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
ซีสต์เต้านม พบได้บ่อยในผู้หญิงวัย 40 ปี มักไม่มีอันตรายร้ายแรง หากพบก้อนในเต้านมที่เกิดขึ้นใหม่ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม