ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาการเบื้องต้นมักจะคล้ายเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่จะค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อาการของโรคได้แก่ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกายมากกว่าปกติ และหากปล่อยไว้นานอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ ปอดอักเสบ ปอดบวม และอาจร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถลดความรุนแรงได้ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์
ไข้หวัดใหญ่แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1 หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” เป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดจากประเทศเม็กซิโกและลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็ด ซึ่งโรคนี้เกิดจากการผสมของไวรัสสายพันธุ์ทั้งคนและสัตว์ จนเกิดการกลายพันธุ์และแพร่กระจายจากคนสู่คนใน อาการที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคนี้คือ ไข้ขึ้นสูง น้ำมูกไหล ไอ ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย โรคนี้มีสามารถใช้ยาต้านที่ชื่อว่า “โอเซลตามิเวียร์” รักษาได้
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/ H3N2 เป็นไวรัสที่สามารถติดต่อจากหมูสู่คนได้ และเคยระบาดหนักในฮ่องกงมาก่อน โรคนี้จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ไข้หวัดฮ่องกง อาการที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดทั่วไป แต่จะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจเร็ว เหนื่อย หอบ เป็นต้น
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B Colorado ตระกูล Victoria เป็นโรคที่ระบาดในสภาพอากาศเย็นแห้ง หรือในฤดูหนาว จะแพร่กระจายได้ในคนสู่คนเท่านั้น ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวมักมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ได้
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B Phuket ตระกูล Yamagata จะระบาดในช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงมกราคม โดยกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้มากที่สุด คือ เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรทำเป็นประจำทุกปี เพราะเมื่อได้รับวัคซีนไปสักระยะหนึ่งแล้ว ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีต่อโรคจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งในแต่ละปีสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นจึงต้องฉีดวัคซีนทุกปีเพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน และสามารถป้องกันได้ตรงกับสายพันธุ์ที่กำลังระบาด
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นวัคซีนที่คนทั่วไปฉีดได้ แต่ควรมีอายุมากกว่า 7 เดือนขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปี ที่รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นปีแรก ควรได้รับ 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ รวมทั้ง บุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับวัคซีน ปีละ 1 เข็มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยป้องกันความรุนแรงและการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดใหญ่
ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ทุกคนควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งถือเป็นวัคซีนพื้นฐาน สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดเมื่ออายุครบ 7 เดือนขึ้นไป จนถึงวัยผู้ใหญ่ นอกจากนี้ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถรับวัคซีนได้เช่นกัน ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป กลุ่มหญิงมีครรภ์ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจากการมีโรคที่ทำให้เกิดความเสี่ยง เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ รวมไปถึงผู้ที่ปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ใครบ้างที่ห้ามฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- เด็กเล็กที่ยังมีอายุยังไม่ถึง 7 เดือน
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือส่วนประกอบในวัคซีนไช้หวัดใหญ่
- ผู้ที่มีไข้สูง หรือเป็นโรคติดเชื้อรุนแรง (ผู้ที่มีไข้ต่ำๆ สามารถฉีดได้ ควรปรึกษาแพทย์)
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้ไข่อย่างรุนแรง เนื่องจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่วนมากจะมีส่วนประกอบของโปรตีนจากไข่ปนอยู่ในวัคซีน ส่วนผู้ที่มีประวัติการแพ้ไข้ไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 30 นาทีหลังฉีด อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาคำแนะนำในการรับวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ต่อไป
- ผู้ที่กำลังป่วยหรือเคยป่วยด้วยกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome: GBS)
- ผู้ที่เพิ่งหายจากอาการเจ็บป่วยเฉียบพลันไม่เกิน 7 วัน
- ผู้ที่เพิ่งนอนพักรักษาตัวและออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่เกิน 14 วัน
- ผู้ที่ยังควบคุมอาการของโรคประจำตัวไม่ได้
นอกจากนี้ ผู้ที่มีไข้สูงหรือมีอาการเจ็บป่วยอย่างเฉียบพลัน ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนนี้จนกว่าจะหายดี เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ทุกปี
สายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆปี และยังมีความหลากหลายมาก ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่จึงเป็นการป้องกันสายพันธุ์ที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการระบาดมากที่สุด จึงควรฉีดวัคซีนล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน เพื่อให้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพสูงซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดพอดี