รวม 10 โรคหน้าหนาวที่พบบ่อย – เตรียมรับมือก่อนป่วย
หน้าหนาว เป็นฤดูกาลที่หลายคนรอคอย เพราะอากาศเย็นสบายช่วยให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงที่เชื้อไวรัสและเชื้อโรคหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เด็ก ๆ อาจเริ่มมีอาการป่วยหลังจากกลับจากโรงเรียน และผู้ใหญ่อาจสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมงานเริ่มมีอาการไอหรือจามกันบ่อยขึ้น
โรคที่พบได้บ่อยช่วงหน้าหนาวมีอะไรบ้าง แล้วเราจะป้องกันตัวเองจากโรคดังกล่าวได้อย่างไร
ทำไมเราถึงป่วยง่ายในฤดูหนาว
ในฤดูหนาวหลายคนอาจเจ็บป่วยบ่อยกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราป่วยง่ายในช่วงนี้ก็คือสภาพอากาศที่แห้งในหน้าหนาว เอื้อต่อการเดินทางของละอองฝอย เมื่อผู้ที่ติดเชื้อไอหรือจาม ละอองฝอยเหล่านี้สามารถลอยไปในอากาศและแพร่กระจายเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เชื้อโรคยังมีระยะฟักตัวที่ยาวนานถึง 2-3 วัน หรือบางครั้งอาจนานถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถเป็นพาหะของโรคและแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ตัว การดูแลสุขภาพและป้องกันตนเองในช่วงเวลานี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ทำอย่างไรจึงจะลดการแพร่เชื้อได้
การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในช่วงที่เราป่วยนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อมีอาการป่วย จึงควรปฏิบัติตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคให้ได้มากที่สุด
- เมื่อป่วย ควรหยุดพักผ่อนที่บ้านจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือพ้นระยะแพร่เชื้อ และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกไปข้างนอกหรือเมื่อต้องอยู่ใกล้คนในบ้านหรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ
- หากไม่มีกระดาษทิชชู่ ควรไอหรือจามใส่ข้อพับข้อศอกแทนการไอใส่มือ เพราะเราอาจลืมล้างมือและเผลอนำมือไปจับสิ่งต่าง ๆ ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายต่อไป
- หมั่นเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวหรือสิ่งของที่ต้องสัมผัสบ่อย ๆ เช่น โต๊ะ ลูกบิดประตู หรือรีโมททีวี
- ไม่ใช่ช้อนส้อม แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
10 โรคฮิตช่วงหน้าหนาว
1. ไข้หวัดตามฤดูกาล (ไรโนไวรัส)
ไข้หวัดตามฤดูกาล หรือที่รู้จักกันในชื่อไข้หวัดไรโนไวรัส เป็นโรคที่พบได้บ่อยในช่วงที่อากาศเย็นหรือชื้น ปัจจุบันมีไวรัสไข้หวัดมากกว่า 200 สายพันธุ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่คนทั่วไปอาจเป็นหวัดได้ถึงปีละ 2-3 ครั้ง ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อประเทศสหรัฐอเมริการายงานว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดตามฤดูกาลราว 1 พันล้านคนต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กเนื่องจากภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่
ไข้หวัดตามฤดูกาลแพร่กระจายได้ง่ายในฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไวรัส ผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ระยะฟักตัว แต่จะมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสูงสุดในวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันที่อาการรุนแรงที่สุด
เพื่อบรรเทาอาการไข้หวัดตามฤดูกาล ควรดื่มน้ำให้เพียงพอป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและคัดจมูกได้ดี การเปิดเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศและการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือยังสามารถช่วยลดอาการเจ็บคอและขับเสมหะได้อีกด้วย
2. ไข้หวัดใหญ่
แม้ว่าไข้หวัดใหญ่มักระบาดในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤษภาคม แต่ก็สามารถพบได้ตลอดทั้งปี องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประมาณ 1 พันล้านคนทั่วโลกทุกปี ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ตั้งแต่ก่อนที่จะแสดงอาการ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่กำลังระบาดในเวลานั้น
3. โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
โควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่มีการแพร่กระจายได้ง่ายเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่หรือไวรัส RSV ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังอาจติดเชื้อได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงและไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล วัคซีนจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความรุนแรงของโรค ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนที่จะแสดงอาการ ผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลยมักจะมีระยะเวลาในการแพร่เชื้อประมาณ 5 วัน แต่สำหรับผู้ที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง ระยะเวลาในการแพร่เชื้ออาจยาวนานถึง 20 วัน
ในปี พ.ศ. 2563 และ 2564 เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะหรือเมื่ออยู่ใกล้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากผู้ป่วยไม่มีอาการและกักตัวครบ 10 วันแล้ว ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอีกต่อไป
4. ไวรัส RSV
ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ก่อให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดตามฤดูกาลในผู้ใหญ่และเด็กที่มีร่างกายแข็งแรง แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กทารก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ไวรัส RSV อาจทำให้หลอดลมและปอดอักเสบจนอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ในประเทศไทยไวรัส RSV มักระบาดในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว (มิถุนายน – พฤศจิกายน) และพบมากในเด็กเล็ก โดยในปีพ.ศ. 2563 จำนวนเด็กที่ป่วยด้วย RSV เพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่าจากปีก่อน ๆ นอกจากนี้ในทุก ๆ ปี มีเด็กที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในปีละประมาณ 58,000 - 85,000 ราย รวมถึงผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีอีกประมาณ 177,000 ราย
ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัส RSV ได้ตั้งแต่ 2-3 วันก่อนเริ่มมีอาการ และระยะเวลาในการแพร่เชื้อโดยทั่วไปอยู่ที่ 8 วัน แต่สำหรับเด็กทารกหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจแพร่เชื้อไวรัสได้นานถึง 1 เดือน แม้ว่าจะไม่มีอาการใด ๆ แล้วก็ตาม
การป้องกันไวรัส RSV ที่มีประสิทธิภาพ คือการเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
5. โรคหลอดลมอักเสบ
ผู้ป่วยโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหลอดลมอักเสบได้ หากอาการรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการที่พบได้บ่อยคือหลอดลมบวม มีเสมหะสะสม ไอเรื้อรังนานเกินกว่า 3 สัปดาห์ โรคหลอดลมอักเสบไม่ใช่โรคติดต่อ แต่โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้
6. โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ
โรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ควรเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ตามสถิติของกรมควบคุมโรคในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2564 พบว่ามีอัตราผู้ป่วยโรคปอดบวมเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม โดยพบว่าเด็กและผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงมากกว่า
สำหรับผู้ป่วยโรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เมื่อได้รับยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 วัน หรือเมื่ออาการไข้ลดลงแล้ว เชื้อจะไม่แพร่กระจายสู่ผู้อื่นอีกต่อไป
7. โรคตาแดง
เมื่อติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในดวงตา เส้นเลือดในตาจะบวมจนบริเวณตาขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดงสด โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถติดต่อกันได้ตั้งแต่ระยะฟักตัวจนกระทั่งเริ่มแสดงอาการ อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะแล้ว 24 ชั่วโมง โรคตาแดงจากเชื้อแบคทีเรียจะไม่แพร่กระจายสู่ผู้อื่นอีก
เมื่อมีอาการตาแดง ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาและใบหน้า รวมถึงล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มเติม
8. ไซนัสอักเสบ
โรคไข้หวัดหรือภูมิแพ้ตามฤดูกาลอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่ไซนัส จนไซนัสอักเสบเฉียบพลัน โรคไซนัสอักเสบไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ผู้ป่วยที่มีอาการไซนัสอักเสบเฉียบพลันมักเป็นไข้หวัดร่วมด้วย จึงอาจแพร่กระจายเชื้อไวรัสโรคหวัดสู่ผู้อื่นได้
เพื่อบรรเทาอาการ ผู้ป่วยสามารถล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อลดการอุดตันของน้ำมูกและลดความดันในโพรงจมูก นอกจากนี้การวางผ้าอุ่น ๆ บนโพรงจมูกก็สามารถช่วยเปิดโพรงจมูกทำให้หายใจได้โล่งมากขึ้น
9. อาการเจ็บคอหรือคออักเสบ
คออักเสบจากเชื้อสเตรป (Streptococcal pharyngitis) เป็นอาการเจ็บคอที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ติดต่อกันได้ จากสถิติของกรมควบคุมโรคในประเทศไทย ในช่วงฤดูหนาวของปี พ.ศ. 2564 มีผู้ป่วยคออักเสบจากเชื้อสเตรปเพิ่มมากขึ้น 10-15% ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กและเด็กวัยรุ่นเนื่องจากการระบาดในโรงเรียน
เชื้อแบคทีเรียทำให้คอและทอนซิลอักเสบ กลืนแล้วเจ็บ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่โรคไข้อีดำอีแดงซึ่งผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ทั้งนี้คออักเสบจากเชื้อสเตรปสามารถติดต่อกันได้จนกว่าผู้ป่วยจะไม่มีไข้หรือรับประทานยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
10. การติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส (Norovirus)
การติดเชื้อท้องเสียจากโนโรไวรัส หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “หวัดลงกระเพาะ” เกิดจากการติดเชื้อโนโรไวรัส ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และปวดท้อง เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายและสามารถอยู่รอดบนพื้นผิวสัมผัส เช่น ลูกบิดประตู ได้นานหลายสัปดาห์
โนโรไวรัสสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 วันหลังจากเริ่มมีอาการ โดยแพร่ผ่านการอาเจียนหรืออุจจาระของผู้ป่วย อาการของโรคอาจคงอยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์ก่อนที่ผู้ป่วยจะหายดี ดังนั้นการรักษาความสะอาดและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการระบาดของโรค
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
- สำหรับทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือน ควรไปพบแพทย์ทันทีที่มีไข้ตัวร้อน
- สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อวัดอุณหภูมิร่างกายได้ 37-38 องศาเซลเซียส
- สำหรับผู้ใหญ่ ควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีไข้สูงกว่า 38.5 องศา นานกว่า 4 วัน
- หายใจมีเสียงหวีด หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก
- เหนื่อยไม่มีแรง ซึมลง
- มีอาการของร่างกายขาดน้ำ เช่น ปัสสาวะสีเข้ม เวียนศีรษะ ภาวะกระหม่อมบุ๋มในทารก
บทสรุป
การเตรียมพร้อมรับมือกับโรคที่มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาวเป็นสิ่งสำคัญ การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้การล้างมือบ่อย ๆ ยังเป็นมาตรการที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากการฉีดวัคซีนและล้างมือแล้ว ควรใส่ใจสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด การรักษาระยะห่างจากผู้ที่มีอาการป่วย และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้การดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้พร้อมรับมือกับโรคในฤดูหนาว