โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก พุ่งอันดับ 1 ภัยเงียบคุกคามสุขภาพลูก
ทำไมเด็กป่วยบ่อยจัง หรือ ทำไมเด็กป่วยง่ายจัง น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจของคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงท่านผู้อ่านหลาย ๆ คน ไม่ต้องนึกไปไกลตัว แค่ลองมองย้อนเทียบตัวเองเมื่อตอนเด็ก เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะพอเห็นภาพเหมือนกันว่า ตัวเองตอนเด็ก ป่วยเป็นโรคทั่วไปอย่างเช่น หวัด ไอ เจ็บคอ บ่อยครั้งกว่าปัจจุบันมากแค่ไหน
ในวันนี้เราได้มีโอกาสมาพูดคุยกับ พญ. ปิยะฉัตร วงศ์บุญยกุล กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ที่จะมาไขคำตอบ อธิบายโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก อย่างละเอียด แต่เข้าใจได้ง่าย พร้อมทั้งคำแนะนำที่มีประโยชน์
โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก โรคที่มีเด็กป่วยมากที่สุด และอาจมีอันตรายถึงชีวิต
“ถ้าคิดตามสถิติ หรือจากอุบัติการณ์ โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก คือโรคที่เราพบได้บ่อยที่สุดในหลาย ๆ ประเทศ และยังคงเป็นปัญหากับทุกคนเสมอมา”
คุณหมอปิยะฉัตร ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ โรคระบบทางเดินหายใจในเด็กไว้ว่า โรคระบบหายใจในเด็ก คือโรคที่เกิดขึ้นในอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจของเด็ก นับตั้งแต่จมูก โพรงจมูก ช่องปาก คอ ไซนัส กล่องเสียง หลอดลม หลอดลมฝอย ปอด กะบังลม ซึ่งรายชื่อโรคในขอบเขตนี้ ล้วนแต่เป็นโรคที่เราได้ยินชื่อกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โรคหวัด คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ หรือที่เรียกกันว่าไซนัสอักเสบ หูอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หอบหืด ไวรัส RSV โรคครูป เป็นต้น
“โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก เป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีโอกาสที่จะสามารถทวีความรุนแรงของโรคขึ้นได้มาก และในผู้ป่วยบางคนที่พบกับบางปัจจัยเสี่ยงร่วม ก็ส่งผลให้มีอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้”
เด็กเป็นหวัด น่ากลัวกว่าผู้ใหญ่เป็นหวัด
“เด็กเนี่ย ถ้ามีอาการบวมในจมูก หรือมีน้ำมูกแค่เล็กน้อย มันก็ทำให้เขาหายใจได้ยากแล้วค่ะ เพราะช่องปาก ช่องคอของเด็ก พื้นที่ต่าง ๆ มันน้อยกว่า ทำให้เกิดการอุดกั้นได้ง่ายกว่า ถ้าเทียบกับผู้ใหญ่แล้ว เวลาที่ผู้ใหญ่ไม่สบาย พื้นที่ของหลอดลมอาจจะลดลงจากการบวมไป 25% แต่ถ้าเป็นเด็ก พื้นที่ตรงนั้นของเขาจะลดลงมากถึง 75% เลย”
ความแตกต่างทางด้านกายวิภาคของเด็ก ที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ มีความอันตรายมากกว่า และมีโอกาสป่วยได้ง่ายกว่า นอกจากขนาดของช่องปาก ช่องคอที่เล็กกว่า แคบกว่า ทำให้เกิดการอุดกั้นที่ง่ายกว่าแล้ว เวลาที่เด็กป่วยขึ้นมาจริง ๆ จะมีปัญหาเรื่องของเสมหะอุดกั้นด้วย เพราะด้วยลักษณะของกายวิภาคของคอ และหลอดลมของเด็กที่อ่อนยวบ เล็ก และตีบแคบได้ง่าย จะทำให้การระบายเสมหะ หรือของเหลวต่าง ๆ เป็นไปได้ยาก และมักจะใช้เวลาในการระบายออกนานกว่าเมื่อเทียบกับวัยผู้ใหญ่ ทำให้เด็กอ่อนล้าจากทั้งการไอ การหายใจที่ลำบาก หายใจได้น้อยลง ที่สำคัญหากเด็กมีอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง หากจำเป็นจะต้องสอดท่อช่วยหายใจ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าเช่นกัน
“เวลาที่เด็กคนนึงไม่สบาย ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเข้ามา เขาจะมีเวลาน้อยกว่าผู้ใหญ่ เขาไม่สามารถรอได้นาน แพทย์อย่างเราจึงต้องรีบรู้ให้เร็วว่าเด็กป่วยเป็นอะไร จากสัญญาณและอาการต่าง ๆ และต้องรีบทำการรักษา เพราะยิ่งนาน อาการจะยิ่งรุนแรงและอันตรายมากขึ้น”
นมแม่ วัคซีน และการดูแลสภาพแวดล้อมของลูก วิธีป้องกันไม่ให้ลูกป่วยที่ดีที่สุด
“นอกจากการสังเกตอาการป่วยของคนไข้แล้ว หมอต้องรับรู้ปัจจัยพื้นฐานของคนไข้ด้วยว่า มีพื้นฐานสุขภาพอย่างไร มีโรคประจำตัวไหม วัคซีนได้ฉีดครบรึเปล่า ได้กินนมแม่ไหม เพราะมันมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญที่จะส่งผลให้โรคมีอาการรุนแรงมากหรือน้อย”
คุณหมอได้แนะนำแนวทางในการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจในเด็กว่า สิ่งสำคัญที่สุด และดีที่สุด คือการให้เด็กได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด และจะดีที่สุดถ้าเด็กได้กินนมแม่เป็นอาหารหลักล้วน ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนนับจากแรกคลอด ถัดมาคือการให้เด็กได้รับวัคซีนที่จำเป็นอย่างครบถ้วน เพื่อช่วยป้องกันโรคติดเชื้ออย่างเช่น ปอดบวม ไข้หวัดใหญ่ RSV เป็นต้น เพราะจะช่วยลดอุบัติการณ์และความรุนแรงของโรคได้

นอกจากนี้สิ่งที่ควรระวังเป็นอย่างมาก คือเรื่องของควันบุหรี่ ทั้งบุหรี่ธรรมดา และบุหรี่ไฟฟ้า เพราะต่อให้เด็กจะมีปัจจัยพื้นฐานสุขภาพที่ดีมากขนาดไหน เช่น ได้ดื่มนมแม่ครบ รับวัคซีนครบ แต่ถ้ามีคนที่บ้านสูบบุหรี่ ก็ยังมีโอกาสป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้อยู่ดี รวมถึงต้องระวังเรื่องมลภาวะต่าง ๆ ด้วย เพราะในปัจจุบันสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภายในตัวเมือง ก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษ จากฝุ่น ควันรถ เป็นต้น
ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ หรือสถานที่แออัด เนื่องจากเด็กจะมีโอกาสติดโรคได้ง่าย และหากเด็กเจ็บป่วยควรให้เด็กพักอยู่ที่บ้าน ไม่ควรไปโรงเรียน เพราะอาจแพร่เชื้อให้แก่เด็กคนอื่น รวมถึงมีโอกาสติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย
“เวลาเด็กเขาติดเชื้อเนี่ย เวลาไม่สบายมักจะรุนแรง และหายช้ากว่าผู้ใหญ่ ซึ่งนอกจากจะลำบากที่ตัวเด็กเองแล้ว ทางคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องลำบากในการพาลูกมาโรงพยาบาลบ่อย ๆ ด้วย ดังนั้น ถ้าเราเน้นป้องกันไว้ก่อน ก็จะสามารถช่วยเบาในเรื่องนี้ได้เยอะเลยนะคะ”
พัฒนาการของการใช้ยา และการศึกษาด้านลักษณะพันธุกรรม อนาคตของการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก
“เรื่องของยาเนี่ย บางทีก็เป็นการใช้ยาที่เรารู้จักอยู่แล้ว แต่ปรับวิธีการใช้ยาในการรักษาให้อาการดีขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
คุณหมอได้เล่าถึงอนาคตของการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจในเด็กว่า มีการพัฒนายาชนิดใหม่ ๆ วิธีการใช้ยา เพื่อช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพรวมถึงมีการพัฒนาวัคซีนเพื่อช่วยป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีการศึกษาในเรื่อง การดูลักษณะทางพันธุกรรม เช่น ในครอบครัวของคนที่มีประวัติป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ก็จะคาดเดาได้ว่า เด็กก็จะมีโอกาสป่วยจากการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เป็นหวัดง่ายขึ้น รวมถึงมีระยะเวลาในการหายของโรคที่ช้ากว่าคนทั่วไป
ต้องไอกี่วัน น้ำมูกไหลกี่วัน เจ็บคอแค่ไหน ถึงควรพาลูกมาหาหมอ
“ส่วนใหญ่เด็กป่วยที่มาหาหมอ อาการจะยังไม่หนักมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าอาการยังไม่หนัก แปลว่าเรายังมีเวลาในการหาสาเหตุของการเจ็บป่วยได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น ทีนี้สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ว่าเวลาไหนที่ควรพาลูกมาหาหมอ ต้องสังเกตว่าอาการแบบไหนของลูก ถึงจะเรียกได้ว่า ไม่ปกติ”

คุณหมอปิยะฉัตรได้ทิ้งท้ายด้วยคำถามสำคัญ “อาการไหนที่ควรพาลูกมาหาหมอ?” โดยยกตัวอย่างโรคทั่วไปอย่างโรคหวัด ซึ่งฟังดูเหมือนไม่ใช่โรคอันตราย ปกติแล้วเป็นไม่นานก็จะสามารถหายได้เอง แต่ต้องดูว่าหวัด หรือไอของลูกเนี่ย เป็นมานานกว่าปกติ มากกว่า 10 วันหรือไม่ ถ้าไอไม่หยุด ไอหนักไม่หายสักที เจ็บคอ มีเสมหะมาก เสมหะเปลี่ยนสีเข้ม หรือเด็กมีอาการหอบ ไอเสียงก้อง หน้าอกบุ๋ม นั่นไม่ใช่อาการปกติ ควรพามาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง
“บางโรคอย่างเช่นในกรณีที่คนไข้มีลักษณะของโรคหอบหืด ถ้าเราสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เด็กเนี่ย เราจะสามารถทำการรักษาลดกระบวนการอักเสบในปอด ควบคุมอาการได้ ลดโอกาสเกิดพังผืดในปอด หรือลดการเกิดหลอดลมตีบแคบแบบถาวรได้ ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีการพยากรณ์โรคที่ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในอนาคตที่เขาจะสามารถหายขาดจากโรค สามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งยาได้”

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแม่ คือการที่ลูกไม่เจ็บป่วย ดังนั้นการป้องกันไว้ก่อน สร้างพื้นฐานสุขภาพของลูกให้แข็งแรงตั้งแต่ก้าวแรกอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพที่ดีได้อย่างสมวัยในอนาคต

