นักแก้ไขการพูด เบื้องหลังที่มากกว่าทำให้ “พูดได้” แต่มอบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
“ในประเทศไทยมีคนเรียนจบสาขาวิชาความผิดปกติของการสื่อความหมายประมาณ 15 คนต่อปี เป็นนักแก้ไขการได้ยิน และนักแก้ไขการพูดอย่างละครึ่ง อย่างรุ่นของเอินเองมีแค่ 9 คนเท่านั้นที่จบมา”

อาชีพนักแก้ไขการพูด หรือที่รู้จักในหลายชื่อ เช่น นักฝึกพูด นักอรรถบำบัด นักเวชศาสตร์สื่อความหมาย คือผู้ที่ทำการวินิจฉัย ประเมิน และวางแผนการรักษาผู้ป่วยในเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดปกติของการสื่อความหมาย ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่ามีแค่คนไข้เด็ก แต่แท้จริงแล้วตั้งแต่วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงอายุก็มีปัญหาการพูดได้เช่นกัน ในปัจจุบัน ถือเป็นอาชีพที่ขาดแคลนด้านบุคลากรเป็นอย่างมากในประเทศไทย และในวันนี้เรามีโอกาสได้มาพูดคุยกับนักแก้ไขการพูด อย่าง คุณ ธัญสิริ ประเสริฐศรีศักดิ์ หรือคุณเอิน นั่นเอง
“จริง ๆ แล้วผู้ป่วยที่มีความผิดปกติด้านการสื่อความหมายที่เป็นผู้ใหญ่กับเด็กมีจำนวนพอ ๆ กันเลยค่ะ อย่างในคนไข้กลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้าจากโรคที่เป็น เช่น ออทิสติก สมองพิการ บกพร่องทางการเรียนรู้ ปากแหว่งเพดานโหว่ และอื่น ๆ พวกเขามักจะมีปัญหา พูดไม่ชัด พูดติดอ่าง เล่าเรื่องไม่ได้ เข้ากับเพื่อนไม่ได้เพราะคุยไม่รู้เรื่อง รวมไปถึงเด็กที่ฝังประสาทหูเทียม ส่วนคนไข้ผู้ใหญ่จะเป็นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองซึ่งกระทบต่อการสื่อความหมาย เช่น เป็นโรคหลอดเลือดสมอง หรือบาดเจ็บที่สมองแล้วทำให้เกิดภาวะเสียการสื่อความ กล้ามเนื้ออ่อนแรงพูดไม่ชัด การพูดลำบากจากการวางแผนการพูดที่ผิดปกติ คนไข้กลุ่มพาร์กินสัน สมองเสื่อม หรือคนไข้กลุ่มเสียงผิดปกติ เช่น เสียงแหบ มีตุ่มที่สายเสียง สายเสียงอัมพาต ใช้เสียงผิดวิธี รวมไปถึงคนไข้กลุ่ม Transgenders ที่อยากจะเปลี่ยนเสียง สรุปคือ ถ้าเมื่อไรที่มีปัญหาเกี่ยวกับภาษาและการพูด ก็สามารถมาพบนักแก้ไขการพูดได้เลยค่ะ”
นักศึกษาแก้ไขการพูดรุ่นแรก ที่ได้รักษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่
“ในหลักสูตรปริญญาตรี รุ่นที่เอินเรียน เป็นปีแรกที่บรรจุเนื้อหาการฝึกพูดในผู้ใหญ่เข้ามาในหลักสูตร จากที่แต่ก่อนจะมีแค่ฝึกเด็กเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เรามีประสบการณ์ในการรักษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตั้งแต่สมัยเรียน”
เนื่องจากคนไข้ที่มีความหลากหลาย ทำให้การเรียนเพื่อเป็นนักแก้ไขการพูดนั้น มีเนื้อหาการเรียนรู้ที่ค่อนข้างละเอียดเพื่อที่จะสามารถประเมินและวางแผนการฝึกได้อย่างเชื่อมโยง เริ่มตั้งแต่การเรียนกายวิภาค สรีรวิทยาระบบประสาทและสมอง กลไกของร่างกายที่เกี่ยวกับการพูดและการได้ยิน สัทศาสตร์ โรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการสื่อความหมาย รวมไปถึงพัฒนาการของเด็กในด้านภาษาและอารมณ์ นอกจากนี้ยังมีการเก็บชั่วโมงในการฝึกปฏิบัติที่ต้องไปฝึกงานตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ผ่านการเรียนรู้กับเคสจริง เช่นการไปฝึกพูดให้เด็กที่สถานสงเคราะห์ การฝึกพูดให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล
“จุดที่ทำให้รู้สึกว่าเราชอบอาชีพนี้ คือตอนที่ได้ไปออกค่ายอาสาที่คณะจัด เราได้ไปลงพื้นที่ตามชุมชนคนพิการ ทำให้เราได้เห็นว่าถ้าเราจบด้านนี้ เราจะช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากเป็นนักแก้ไขการพูด เพื่อช่วยเหลือคนให้สามารถสื่อสารออกมาได้อย่างดีที่สุดเท่าที่ศักยภาพของเขาจะสามารถทำได้”
การฝึกพูด งานที่เหมือนการตัดเสื้อ Custom-Made ให้คนไข้
“ไม่มีอะไรยากกว่ากัน แต่จะมีความท้าทายคนละแบบ อย่างคนไข้เด็กปัญหาคือเขาไม่เคยเรียนรู้ภาษามาก่อน การฝึกของเราต้องประเมินอย่างใกล้ชิดว่าเด็กเข้าใจอะไรบ้าง มีอะไรกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษาและการพูด ส่วนผู้ใหญ่เขาคือคนที่เคยรู้ภาษามาก่อน มีภาษาอยู่แล้ว แต่โรคที่เขาเป็นทำให้ภาษาของเขาที่มีอยู่มันหายไป เราก็ต้องดูเป็นรายเคสไปว่า โรคมันไปกระทบทักษะภาษาและการพูดของเขาส่วนไหน”
การฝึกพูด หรือการแก้ไขการพูด แม้จะมีหลักสูตร มีวิธีการให้เรียนรู้มาบ้าง แต่รูปแบบที่ว่ามาก็ไม่ได้ตายตัวเสมอไป เพราะทุก ๆ คนมีลักษณะนิสัยที่ไม่เหมือนกัน มีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อให้เหมาะสมกับเคสนั้น ๆ อย่างเช่นในคนไข้เด็กก็ต้องประเมินจากลักษณะนิสัยที่ต่างกัน การเลี้ยงดูแลของแต่ละครอบครัวที่ต่างกัน
“การฝึกพูดให้คนไข้แต่ละคน เหมือนการตัดเสื้อ Custom-Made แต่ละคนจะฝึกไม่เหมือนกัน ต้องประเมินและวางแผนเป็นรายบุคคลอย่างละเอียด ต่อให้คนไข้มาด้วยอาการเดียวกัน สาเหตุเดียวกัน ก็อาจต้องใช้วิธีการฝึกที่ต่างกันไป เหมือนเป็นการใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ไปในตัว นอกจากต้องมีความรู้ ยังต้องมีศิลปะในการพูดคุยกับคนไข้และญาติ หรือผู้ดูแล เพื่อให้เข้าใจ ประยุกต์ให้ตอบโจทย์ในแต่ละบุคคล และนำไปฝึกต่อได้”
ภาวะเสียการสื่อความ ไม่ได้เกิดจากลิ้นแข็ง แต่เป็นปัญหาสมองที่สามารถรักษาได้
“ภาวะเสียการสื่อความคือ ภาวะผิดปกติที่เกิดจากสมองส่วนที่ช่วยในการรับฟังเข้าใจ กับส่วนที่ทำหน้าที่ในการพูด อาจเกิดการเสียหายจากเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก ทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้ ฟังไม่เข้าใจ พูดไม่รู้เรื่อง นึกคำไม่ออก ทำให้สื่อสารกับคนรอบข้างลำบาก”
หลาย ๆ คนเข้าใจผิด คิดว่าภาวะเสียการสื่อความ คืออาการผิดที่เรียกกันว่า ลิ้นแข็ง จึงทำให้ผู้ป่วยพูดเปล่งเสียงไม่ได้หรือพูดไม่เป็นคำ แต่แท้จริงแล้ว มันคืออาการผิดปกติของสมองอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถพูดในสิ่งที่ใจคิดออกมาได้ หรือฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่คนอื่นพูดให้ฟัง
“ความผิดปกตินี้แบ่งออกไปหลายประเภท จำเป็นจะต้องมาวินิจฉัยอย่างละเอียดว่ามีทักษะด้านใดบ้างที่เสีย เช่น เสียด้านการนึกคำ เสียเรื่องฟัง หรือเสียเรื่องการพูดคล่อง จากนั้นจึงค่อยวางแผนทำการรักษา โดยที่ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ความพร้อมของร่างกายผู้ป่วย และระยะเวลาของการเกิดโรค ซึ่งหากทำการประเมินโดยนักแก้ไขการพูดได้อย่างถูกต้อง ก็จะสามารถวางแผนฝึกที่ตรงกับปัญหา ฟื้นฟูภาษาและการพูดของผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เต็มศักยภาพ”
เข้าใจ ใช้เวลา และให้กำลังใจ เคล็ดลับในการรับมือผู้ป่วยของนักแก้ไขการพูด
“เคยได้ฝึกเด็กคนหนึ่งจากที่เขาไม่พูดเลยแม้แต่คำเดียว จนเขาสามารถไปโรงเรียนคุยเล่นกับเพื่อนได้ แล้วเขากลับมาขอบคุณเรา มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากเลยนะ การที่เราช่วยเด็กคนหนึ่งให้พูดได้ มันไม่ได้เป็นการช่วยแค่ตัวเด็ก แต่ยังช่วยให้ครอบครัวสามารถวางใจว่าต่อไปเด็กจะเติบโตไปโดยใช้ภาษาสื่อสารได้ และใช้ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าอย่างปกติ”
เมื่อชวนคุณเอินพูดคุยถึงเคสผู้ป่วยที่เคยทำการรักษามาตลอด 9 ปีที่ทำอาชีพนี้ นอกจากการฝึกพูด คุณเอินก็ได้บอกถึงความท้าทายในการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ยังมีแรงในการฝึกต่อ โดยสิ่งสำคัญคือต้องให้เวลาทำหน้าที่ของมัน ทำความเข้าใจคนไข้อย่างจริงใจ และให้กำลังใจในวันที่คนไข้อาจรู้สึกยอมแพ้ไปแล้ว ในฐานะนักแก้ไขการพูด การเชื่อมั่นว่า เดี๋ยวก็จะดีขึ้น ถ้าได้ฝึกพูดไปเรื่อย ๆ จะช่วยทำให้การทำงานที่ดูเป็นไปไม่ได้ สามารถเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ให้มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือร่วมแรงใจกันระหว่างครอบครัวหรือผู้ดูแล ก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน
“ยกตัวอย่างเคสหนึ่ง คนไข้ไม่ยอมฝึกอะไรเลย กำลังใจในการมีชีวิตเขาหายไปแล้ว เขาพยายามสื่อสารกับเราว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเพราะพูดไม่รู้เรื่อง แต่พอเราได้ทำการฝึกเขา สังเกตสิ่งที่จะนำมากระตุ้นเขาได้ สร้างความสนุก แรงกระตุ้นให้อยากพูด สุดท้ายเขากลับมาพูดเป็นประโยคได้อีกครั้ง เขาก็บอกกับเราว่า ขอบคุณที่ไม่ยอมแพ้ในตัวเขา แม้จะต้องใช้เวลาฝึกถึงหนึ่งปี แต่ปัจจุบันเขาก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัวได้อีกครั้ง”
การฝึกใช้เสียงสำหรับ LGBTQ+ และสังคมสูงวัย บทบาทสำคัญในอนาคตของนักแก้ไขการพูด
“ปัญหาเรื่องเสียงผิดปกติเป็นปัญหาที่มีคนเป็นเยอะแต่ไม่รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะต้องไปปรึกษาใครดี ทำอย่างไรจึงจะหาย เช่น มีอาการเสียงแหบ มีลมแทรก พูดไปนาน ๆ แล้วเหนื่อยและเสียงก็หายไป พูดแล้วเหมือนกลั้นลม พูดเสียงไม่มีพลัง จนไปถึงเรื่องของการมีเสียงที่ไม่ตรงกับเพศสภาพของตนเอง เช่น วัยรุ่นเพศชายแต่เสียงยังแหลมสูง หรือในกลุ่ม LGBTQ+ ที่อยากเปลี่ยนเสียง”
บทบาทสำคัญของนักแก้ไขการพูดในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้ คุณเอินได้มองไปถึงสองประเด็นใหญ่ ประเด็นแรกคือ การฝึกใช้เสียงให้ถูกวิธี ซึ่งเรื่องเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก เราใช้เสียงในการพูดคุย ทำงาน สื่อสารกับคนที่เรารักและเสียงอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกไปจนถึงวันสุดท้าย หากเราไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาการใช้เสียงก็อาจจะทำให้เราใช้เสียงผิดวิธีและนำไปสู่ปัญหาเสียงผิดปกติที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความต้องการของกลุ่มคนไข้ LGBTQ+ เพราะปัจจุบันนี้ความหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในสังคมมากขึ้น นอกเหนือจากการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ การฝึกใช้เสียงให้ตรงกับเพศสภาพที่ต้องการก็เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความมั่นใจเช่นกัน ดังนั้นนักแก้ไขการพูดจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยฝึกคนไข้ในกลุ่มที่ต้องการใช้เสียงให้ได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมกับความต้องการของคนไข้
นอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ เพราะการที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น นั่นหมายถึงจำนวนผู้มีปัญหาสุขภาพด้านสมองที่อาจจะกระทบในเรื่องของภาษาและการพูดจะมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ภาวะเสียการสื่อความ กล้ามเนื้ออ่อนแรง สมองเสื่อม
“ผู้สูงอายุเวลามีอายุมากขึ้น สื่งที่มาพร้อมกันคือความเสื่อมถอยของร่างกายและโรคภัยไข้เจ็บ โดยเมื่อกระทบกับการพูดสื่อสารก็จะทำให้เขาไม่สามารถพูดสื่อสารกับลูกหลาน อยากพูดอะไรก็ไม่ตรงกับที่ใจคิด พูดไม่ชัดไม่มั่นใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นปัญหาที่สามารถบำบัดได้ หากสามารถประเมินได้อย่างตรงจุด และฝึกได้ตรงตามลักษณะของปัญหาการพูดที่คนไข้มี และมีโอกาสที่ทำให้คนไข้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในการสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเต็มศักยภาพที่ทำได้”
ที่โรงพยาบาลเมดพาร์ค มีนักแก้ไขการพูดที่สามารถฝึกพูดให้ผู้ใหญ่ได้
“ที่นี่มีทีมแพทย์ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้ตรงจุด สามารถส่งต่อเคสให้กับนักแก้ไขการพูดได้ ที่สำคัญที่นี่มีนักแก้ไขการพูดค่ะ และสามารถฝึกพูดให้กับผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ด้วยค่ะ” คุณเอินกล่าวประโยคข้างต้นพร้อมรอยยิ้ม
และนั่นคือความพร้อมของศูนย์ หู คอ จมูก โรงพยาบาลเมดพาร์ค สำหรับการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการสื่อความหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการกระตุ้นพัฒนาการที่ครบถ้วน การฟื้นฟูทางภาษาและการพูดที่ตรงจุด มีโอกาสที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการรักษา

นอกเหนือเวลางานแล้ว คุณเอินมีอีกหนึ่งความสนใจที่ค่อนข้างทุ่มเทให้กับมันนั่นก็คือ การศึกษาเรื่อง การพัฒนาตนเองและหมั่นเพิ่มพูนความรู้สม่ำเสมอ เพราะเชื่อว่า หากรู้จักตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ก็จะสามารถปรับตัวเข้าหาผู้อื่นและรู้จักผู้อื่นได้ดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะมีประโยชน์มากเมื่อนำไปปรับใช้กับทั้งเรื่องการทำงานกับคนไข้ และหลาย ๆ เรื่องในชีวิต