การตรวจสุขภาพเป็นประจํา เป็นวิธีป้องกันและดูแลสุขภาพเชิงรุกเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ช่วยให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของเราในปัจจุบันและยังช่วยให้ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดสูง
ระหว่างการตรวจร่างกายต้องทำอะไรบ้าง
- การซักประวัติ
- การตรวจสัญญาณชีพ พยาบาลจะตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกาย ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิต น้ำหนัก และส่วนสูง
- การตรวจร่างกาย แพทย์จะมองหาสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงโรคที่อาจกำลังเป็นอยู่ โดยจะตรวจดูร่างกายทั่วไป เช่น ผิวหนัง ผม และเล็บ และใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อตรวจสอบดวงตา หู คอ และจมูก ฟังเสียงเต้นของหัวใจและลมหายใจของปอด คลําหน้าท้องเพื่อตรวจหาความผิดปกติ ตรวจระบบประสาทสั่งการและปฏิกิริยาตอบสนอง (reflex) และอาจตรวจบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และลำไส้ตรงด้วยเช่นกัน
- การทดสอบในห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือดเพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การตรวจสารเคมีในเลือด และตรวจไขมันในเลือด เป็นต้น การตรวจสารเคมีในเลือดช่วยทำให้ทราบว่าตับ ไต หรือภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติหรือไม่ การตรวจไขมันในเลือดจะตรวจดูว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจหรือไม่ หากพบปัญหาอื่น ๆ แพพย์อาจสั่งให้ทำการตรวจคัดกรองเพิ่มเติม
การตรวจคัดกรอง
เพศหญิง ยกตัวอย่างเช่น
- การตรวจเต้านมเพื่อตรวจสอบว่ามีอาการหรือก้อนเนื้อผิดปกติในเต้านมซึ่งอาจเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่
- การตรวจแมมโมแกรม แนะนําให้ตรวจในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมต่ำหรือปานกลางทุก ๆ 2 ปี หากมีประวัติครอบครัวสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม ควรได้รับการตรวจคัดกรองบ่อยขึ้น
- การตรวจภายในเป็นการตรวจอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูกและรังไข่เพื่อหาสัญญาณและอาการของ โรคทางเพศสัมพันธ์หรือโรคอื่น ๆ
- การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ควรเริ่มตรวจในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 21 ปีและสามารถตรวจซ้ำได้ทุก 3 ปี ถ้าผลปกติ ผู้หญิงอายุ 30-65 ปีควรได้รับการตรวจแปปสเมียร์และตรวจหาดีเอ็นเอของไวรัส HPV ทุก 5 ปี เมื่ออายุ 65 ปีผู้หญิงส่วนใหญ่มักสามารถหยุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ ถ้าไม่เคยมีประวัติมะเร็งทางนรีเวชมาก่อน
- การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุ 45 ปี โดยปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการตรวจที่เหมาะสม การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่นั้นมีข้อดีตรงที่สามารถตัดติ่งเนื้อที่ไม่เป็นมะเร็งและมะเร็งขนาดเล็กได้ในทันทีที่ตรวจพบ
- การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุน เพื่อตรวจมวลกระดูก เหมาะสำหรับผู้หญิงเมื่อหมดประจำเดือน และตรวจซ้ำอีกครั้ง 10 ปีหลังจากนั้น
- การตรวจไขมันในเลือด แนะนำให้ตรวจในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือโรคเบาหวาน ควรทำการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 20 ปี
เพศชาย ยกตัวอย่างเช่น
- การตรวจไขมันในเลือด แนะนำให้ตรวจตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือโรคเบาหวาน ควรทำการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 20 ปี
- การตรวจลูกอัณฑะ เพื่อคลำหาก้อน อาการกดเจ็บ หรือการเปลี่ยนแปลงของขนาดลูกอัณฑะ
- การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 50 ปีหรือ 40 ปี หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
- การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุ 45 ปี เช่นเดียวกับผู้หญิง
- การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุน เพื่อตรวจมวลกระดูก เหมาะสำหรับผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป
- การตรวจคัดกรองหลอดเลือดโป่งพองในช่องท้อง เป็นการอัลตราซาวด์ตรวจคัดกรองสําหรับผู้ชายอายุ 65-75 ปีที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่
เพศหญิงและเพศชาย ยกตัวอย่างเช่น
- โรคเบาหวาน: ในรายที่น้ำหนักเกินหรือมีคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูง แพทย์อาจสั่งให้ตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด แบบ HbA1C หรือให้งดอาหารก่อนเจาะเลือด
- อาการซึมเศร้า: แพทย์จะมองหาสัญญาณและอาการของภาวะซึมเศร้า ซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะออกได้
- การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด: ผู้ชายและผู้หญิงอายุ 55-80 ปีที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
- ไวรัสตับอักเสบซี: แนะนําให้ทำการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบซีหนึ่งครั้ง โรคนี้ไม่มีอาการแต่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
- การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: แพทย์จะพิจารณาจากกิจกรรมทางเพศของผู้ได้รับการตรวจ โดยอาจจะแนะนําให้ตรวจคัดกรองเอชไอวีและซิฟิลิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันเป็นประจำ
- การฉีดวัคซีน: ควรปรึกษาแพทย์ว่ามีวัคซีนอะไรบ้างที่ควรได้รับตามช่วงอายุ
อ่านเรื่องวิธีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพได้ที่ คําแนะนําสําหรับการตรวจสุขภาพ
บทความโดย
พญ.ณิยวรรณ ศุภมงคล
แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน และแพทย์สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
ประวัติแพทย์