ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ด้วย AI เพิ่มโอกาสพบติ่งเนื้อผิดปกติ
โรคระบบทางเดินอาหาร มีตั้งแต่อาการทั่วไป ไม่ร้ายแรงและหายได้เอง ไปจนถึงอาการที่อาจเป็นอันตรายและลดทอนคุณภาพชีวิต
ปัจจุบัน มีนวัตกรรมในการตรวจหาความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผ่านการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ร่วมกับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะมีการแจ้งเตือนแบบ Real-Time และสามารถวินิจฉัยชนิดของติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่นั้นว่าเป็นอันตรายหรือไม่

นพ.สันติ กุลพัชรพงศ์ อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเมดพาร์ค จะมาบอกเล่าถึงการนำเทคโนโลยี AI และ DeepGI มาใช้ในการช่วยตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ จะเพิ่มความละเอียด แม่นยำได้มากน้อยแค่ไหน มาติดตามกัน
ตรวจด้วยการส่องกล้อง เห็นรอยโรคชัด พบปัญหารวดเร็ว แม่นยำ
“การส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร คือวิธีที่ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นพื้นผิวด้านในของอัวยวะระบบทางเดินอาหารที่เราคาดว่ามีปัญหาได้ ซึ่งโดยปกติ เป็นส่วนที่เราไม่อาจมองเห็นจากภายนอกได้โดยง่าย และเบื้องต้นจะใช้การซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นหลัก แต่หากมีอาการหรือความผิดปกติบ่งชี้ ก็จะใช้การส่องกล้องเพื่อหาสาเหตุโดยละเอียดมากขึ้นครับ”
ในคนไข้ที่มีข้อบ่งชี้ในการส่องกล้อง อาจมีอาการเตือนบางอย่าง เช่น มีเลือดออก น้ำหนักลด สงสัยว่ามีการอักเสบของลำไส้ ควรต้องส่องกล้องเข้าไปดู เอาชิ้นเนื้อออกไปตรวจ โดยสามารถทำได้ทั้งในกรณีวินิจฉัยและรักษาในกรณีมีความผิดปกติ และสามารถใช้ในการตรวจคัดกรองโรคแม้ยังไม่มีสัญญาณความผิดปกติได้ด้วย
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรเริ่มตรวจเมื่อมีอายุ 45 ปีขึ้นไป แต่หากในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ควรมาเร็วกว่านั้น

DeepGI ช่วยตรวจความผิดปกติในทางเดินอาหารได้แม่นยำ ละเอียดขึ้น
“AI ส่วนใหญ่ที่ใช้ร่วมกับการส่องกล้องทางเดินอาหารก็เหมือนผู้ช่วยที่จะช่วยแพทย์ตรวจจับหารอยโรคในทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะติ่งเนื้อที่เป็นตำแหน่งกำเนิดของมะเร็งลำไส้ได้ เพิ่มโอกาสการตรวจเจอติ่งเนื้อ เนื้องอกได้มากขึ้น”
รู้ไหมว่า ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ แม้จะไม่ใช่ทุกติ่งเนื้อที่จะกลายเป็นมะเร็ง แต่บางก้อนที่ปล่อยไว้นาน 10-20 ปี ก็อาจจะโตเป็นมะเร็งได้ การที่เราสามารถตรวจพบ แล้วสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ติ่งเนื้อนั้นมีโอกาสโตเป็นมะเร็งไหม แล้วรีบกำจัดออกก่อน ทำให้เราสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ที่อาจจะเกิดขึ้นในอีก 10-20 ปีข้างหน้าได้เลย
โดย AI ในปัจจุบัน สามารถตรวจจับความผิดปกติขณะที่กล้องส่องผ่านอวัยวะภายใน หรือผนังลำไส้ และยังสามารถจำแนกได้ว่า ติ่งเนื้อที่พบ เป็นติ่งเนื้อชนิดไหน มีโอกาสโตไปเป็นมะเร็งในอนาคตหรือไม่

ติ่งเนื้อที่ผิดปกติ จะพบ 3 ในทุก 10 คน
แพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติต่าง ๆ ในลำไส้ โดยอาศัยความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ ซึ่งโดยมาตรฐานแล้ว เมื่อแพทย์ตรวจส่องกล้องคนไข้ที่มีอายุเกิน 45 ปี ในจำนวน 10 คน จะเจอติ่งเนื้อที่ผิดปกติอย่างน้อย 3 คน
“เมื่อก่อน ในยุคที่ยังไม่มี AI จะอาศัยการดูด้วยตาเปล่า ยิ่งแพทย์ที่ส่องกล้องผ่านเคสมาเยอะ จะยิ่งสังเกตความผิดปกติได้รวดเร็ว ในขณะที่ให้คนทั่วไปมาดูอาจดูไม่รู้ และยิ่งเราสามาถตรวจจับติ่งเนื้อผิดปกติได้มากเท่าไร ก็จะลดโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในคนไข้ได้มากเท่านั้นครับ”
ในอดีต กล้องที่ใช้ส่องจะยังไม่มีความละเอียดเท่าปัจจุบัน จึงอาจเห็นได้ไม่ชัดเหมือนตอนนี้ ต่อมาก็มีการเพิ่มเทคโนโลยีที่ช่วยฟิลเตอร์ภาพ เพื่อให้เรามองเห็นติ่งเนื้อหรือความผิดปกติได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันก็ยังมีใช้กันอยู่ แต่ก็สู้การทำงานของเทคโนโลยี AI ไม่ได้

“ในแพทย์ที่มีความชำนาญในการตรวจจับสูง ๆ อาจคิดว่า AI คงไม่ได้ช่วยอะไร แต่มีข้อมูลระบุว่า แม้ในกลุ่มแพทย์ที่สามารถตรวจจับติ่งเนื้อได้สูง AI ก็ยังไปเพิ่มโอกาสการตรวจจับติ่งเนื้อได้อีกเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์เลยครับ
“และถ้าดูจากข้อมูลที่มีการรายงานจากการวิจัย หากเราเพิ่มอัตราการตรวจจับติ่งเนื้อได้ 1 เปอร์เซ็นต์ จะลดโอกาสเกิดมะเร็งในคนไข้ได้ถึง 3 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว”
คุณหมอสันติอธิบายว่าการนำ AI เข้ามาใช้ จะไปเพิ่มศักยภาพการตรวจเจอติ่งเนื้อและความผิดปกติ ซึ่งตามที่กล่าวไปว่า ยิ่งตรวจเจอมาก ยิ่งลดความเสี่ยงมะเร็งได้มากนั่นเอง
และการที่ AI สามารถช่วยจำแนกประเภทของติ่งเนื้อได้ หากพบว่าเป็นติ่งเนื้อที่อาจกลายเป็นมะเร็ง ก็จะได้ดำเนินการรักษาตามความเหมาะสมโดยไม่จำเป็นต้องส่งตรวจชิ้นเนื้อ ลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่ายได้ แต่ในบางกรณีก็ยังต้องส่งชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อยืนยันความถูกต้องอยู่
“ที่สำคัญ AI จะพัฒนาและฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนเคสและฐานข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกหน่อยก็อาจมีความแม่นยำมากขึ้นจนไม่ต้องส่งชิ้นเนื้อไปตรวจอีกแล้วก็ได้”

AI ที่เมดพาร์ค ใช้กับกล้องได้หลากหลาย ยิ่งตรวจได้เยอะ ฐานข้อมูลเพิ่ม ยิ่งแม่นยำขึ้น
โรงพยาบาลเมดพาร์คให้ความสำคัญกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางการแพทย์ โดยศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ได้มีส่วนร่วมเก็บข้อมูลในงานวิจัยเกี่ยวกับการนำ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยในการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ โดยได้นำ DeepGI ที่พัฒนาขึ้นโดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มาใช้ในการตรวจส่องกล้องคนไข้ และให้โรงพยาบาลเมดพาร์ค เป็นหนึ่งในศูนย์ที่เก็บข้อมูลให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
“โดยปกติแล้ว ในวงการแพทย์มี AI ที่ใช้ในการส่องกล้องมากมายครับ ในตลาดเราจะเห็นบริษัทที่ผลิตกล้องส่องทำ AI ของตัวเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้ร่วมกับตัวกล้องที่มาจากบริษัทผู้ผลิตเท่านั้น แต่จุดเด่นของ DeepGI ที่เราใช้ คือสามารถนำไปต่อกับกล้องยี่ห้ออะไรก็ได้ ตัว AI ก็มีโอกาสเก็บข้อมูลได้หลากหลาย และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุง AI ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้นไปอีกครับ”

มะเร็งลำไส้ อย่ารอให้มีอาการ คัดกรองก่อน ป้องกันได้ก่อน
การส่องกล้องตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอายุถึง 45 ปี แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ ก็ควรมาตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ เพราะโรคนี้หากเริ่มแสดงอาการ แสดงว่ามะเร็งโตและมีการดำเนินโรคไปเยอะแล้ว การรักษาจะยุ่งยากซับซ้อนขึ้น และกระทบต่อคุณภาพชีวิต
“หากตรวจเจอตั้งแต่ตอนยังเป็นติ่งเนื้อ ยังไม่กลายเป็นมะเร็ง การรักษามีเพียงแค่การตัดติ่งเนื้อนั้นออก โดยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดลำไส้ ก็สบายใจ ไม่จำเป็นต้องกังวลกับติ่งเนื้อ ซึ่งในมุมมองของแพทย์ วิธีการคัดกรองจะเป็นวิธีการรับมือที่หวังผลได้มากที่สุด”
คุณหมอยังแนะนำว่า หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ให้ระบุว่าตรวจพบตอนอายุเท่าใด แล้วให้ถอยย้อนไป 10 ปี เช่น คุณพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ตอนอายุ 50 ปี เราก็ควรเริ่มตรวจคัดกรองตอนอายุ 40 ปี
“ในปัจจุบัน สามารถพบเจอผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ ดังนั้น การสังเกตอาการผิดปกติ หรือการตรวจเช็กปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ของตัวเอง แล้วรีบไปตรวจคัดกรองโดยไม่ต้องรอให้อายุมากหรือมีอาการ จะลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ได้แน่นอนครับ”