ใช้ AI แก้ปัญหานอนไม่หลับ ผ่านมุมมองแพทย์เวชศาสตร์การนอนหลับ
ปัจจุบัน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ค่อย ๆ แทรกซึมและเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ทีละน้อย ๆ จนเราได้เห็นการใช้งาน AI ในระดับบุคคลทั่วไปเพิ่มขึ้น ทั้งการช่วยทำงาน วิเคราะห์สถิติต่าง ๆ สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือแม้กระทั่งวางแผนการตลาด แน่นอนว่าในแง่ของสุขภาพและการแพทย์ AI ย่อมได้รับการพัฒนามาพร้อมกับเทคโนโลยี เก็ตเจ็ทต่าง ๆ เช่นกัน แล้วเราสามารถไว้ใจ AI ให้ดูแลสุขภาพเราได้มากน้อยแค่ไหน บทความนี้ ผศ.นพ. จิรยศ จินตนาดิลก แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ จะมาแลกเปลี่ยนมุมมองการนำ AI มาใช้ในการดูแลสุขภาพ
หากข้อมูลมีคุณภาพ AI จะทำงานได้มีคุณภาพ
เนื่องด้วยศักยภาพของ AI เกิดจากข้อมูลที่ใช้ในการพัฒนาระบบ หนึ่งในคีย์สำคัญของการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ คือการป้อนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในการช่วยวินิจฉัยและออกแบบการรักษา โดยอาศัยชุดข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป หาก AI ได้เรียนรู้จากข้อมูลที่มีคุณภาพและมากเพียงพอ ก็จะสามารถเข้ามาช่วยลดภาระ และลดเวลาการทำงานของแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ได้ เช่น การเก็บประวัติและข้อมูลทางสุขภาพ การวิเคราะห์ผลการตรวจต่าง ๆ

แต่อย่างไรก็ดี การแพทย์และสุขภาพ ต้องทำงานกับความหลากหลายของชุดข้อมูลและเงื่อนไขทางสุขภาพของผู้ป่วยที่ยิบย่อย มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก โรคบางโรค กลุ่มอาการบางกลุ่ม มีรายละเอียดมากมายที่ AI ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ ส่งผลต่อความแม่นยำที่ไม่อาจเชื่อถือได้ 100 เปอร์เซ็นต์ รูปแบบที่นำมาใช้งานในปัจจุบันจึงมักพบในลักษณะของผู้ช่วยแพทย์ ที่จะช่วยในการคำนวณและส่งเสริมความแม่นยำของแพทย์ที่เป็นมนุษย์ อาทิ ช่วยในการผ่าตัด การส่องกล้องตรวจหาความผิดปกติ
ใช้ AI รับมือโรคนอนไม่หลับ ปัญหาพื้นฐานของมนุษย์
“นอนไม่หลับ ไม่ใช่ว่าจะเป็นโรคนอนไม่หลับ หรือ insomnia เสมอไป การจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ ต้องมีปัญหาการนอนไม่หลับซ้ำ ๆ ติดต่อกันเกินกว่า 1 สัปดาห์ ไม่สามารถนอนหลับได้เมื่อต้องการจะนอน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้ชีวิต การทำงานในแต่ละวันนั่นเอง” คุณหมอจิรยศเกริ่น
เนื่องจากการรักษาโรคนอนไม่หลับ ไม่ได้มีแค่การกินยาอย่างเดียว ยังมีเรื่องของการปรับพฤติกรรม จึงมีการคิดค้นออกมาเป็นอัลกอริทึม ผลิตเป็น AI ที่สามารถวิเคราะห์และช่วยให้คำแนะนำในการจัดการกับปัญหาการนอนออกมาเป็นข้อ ๆ เป็นลำดับขั้นได้ AI จะใช้ข้อมูลของผู้ป่วยเพื่อประมวลผลพฤติกรรมของมนุษย์ และข้อมูลตรงนี้เองที่แพทย์สามารถดึงเอาออกมาใช้ประกอบการพิจารณารักษาโรค รวมถึงการวินิจฉัย ลดขั้นตอนการมาพบแพทย์หลายครั้ง เพื่อซักประวัติ ติดตามผล เปลี่ยนเป็นการใช้ AI ในการช่วยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแทน
คุณหมอยกตัวอย่าง โปรแกรมปรับปรุงการนอนที่ชื่อ Sleepio ในต่างประเทศ ที่พัฒนาโดยบริษัท Big Health ออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการกับสาเหตุของอาการนอนไม่หลับในวัยผู้ใหญ่ โดยจะให้ผู้ใช้งานเข้าสู่หลักสูตร 6 สัปดาห์ ในการรวบรวมข้อมูลปัญหาการนอนของผู้ใช้ อาทิ แบบทดสอบ CBT-I รายสัปดาห์ และการบันทึกรูปแบบการนอน และฟีเจอร์การช่วยเหลือต่าง ๆ จาก AI โดยโปรแกรมได้รับการรับรองทางการแพทย์ และสามารถช่วยลดความถี่ของการไปพบแพทย์ได้ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังแนะนำให้ใช้งานร่วมกับการรับการบำบัดและคำแนะนำของแพทย์ (ที่ไม่ใช่ AI) เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการรักษา

“ที่ผ่านมาเราได้เห็นความพยายามในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะการนอนหลับ อย่างเช่นการคิดค้นการตรวจพันธุกรรมในรายบุคคล เพื่อหาความเหมาะสมว่า ลักษณะทางพันธุกรรมของคนคนนั้นควรนอนกี่ชั่วโมง ซึ่ง AI ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ เพื่อการหาแพทเทิร์นการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมในแต่ละคน ที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพของเขานั่นเองครับ”
ความจริงแล้ว ‘สุขภาพ’ เรียบง่ายกว่าที่คิด
แม้มนุษย์จะพยายามที่จะนำเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ มาดูแลสุขภาพ และปรับปรุงคุณภาพชีวิต ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นด้วยการใช้นวัตกรรมและวิทยาการที่ทันสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่คุณหมอชี้ให้เห็นและปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นก็คือ ‘การดูแลสุขภาพ เรียบง่ายกว่าที่คิด’
“เราจะพบว่าปัจจัยความเสี่ยงที่ก่อโรคในมนุษย์นั้น มีที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมาจากพันธุกรรม ซึ่งเราจัดการตรงนี้เองไม่ได้ ในขณะที่อีก 70-80 เปอร์เซ็นต์ มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งมันอยู่ที่ตัวเรา สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยหลายต่อหลายอย่างครับ และในปัจจุบัน เราก็จะเห็นเทคโนโลยีที่ทำมาเพื่อช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ก็คือป้องกัน และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจากพฤติกรรมที่คิดเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์นั่นเองครับ”
ในฐานะของแพทย์เวชศาสตร์การนอนหลับ คุณหมอจิรยศได้แนะนำไว้ว่า การมีอนาคตสุขภาพที่ดี ต้องมีการลงทุน และทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงที่น้อยที่สุดคือการจัดการกับพฤติกรรมของตัวเราเอง เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักของโรคภัยไข้เจ็บ
“ไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วยจึงเริ่มดูแลรักษาสุขภาพ แต่ควรหมั่นตรวจเช็กสุขภาพอยู่เสมอ เพราะการได้รับรู้ปัญหาสุขภาพของตัวเองก่อน ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากรู้ ย่อมดีกว่า และเมื่อต้องการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพ ต้องทำอย่างมีสติ บาลานซ์ให้พอดี ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีไปเสียหมด เพราะแท้จริงแล้วคนกำหนดไลฟ์สไตล์คือตัวของเราเอง เท่านี้ เราก็จะจัดการกับปัจจัยเสี่ยงโรคอีก 70-80 เปอร์เซ็นต์นั่นได้ครับ”
สรุปแล้ว AI ใช้รักษาได้จริงไหม
คุณหมอจิรยศระบุว่าการจะพิจารณาว่า AI สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้จริงหรือไม่ ควรพิจารณาแยกเป็นกลุ่มโรค กลุ่มอาการ และฟังก์ชัน ไม่สามารถเหมารวมและตอบครอบคลุมการแพทย์ทุกแขนงทั้งหมดว่าใช้ได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาและฐานข้อมูลของแต่ละสาขา บ้างสามารถนำมาใช้งานได้ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง บ้างยังทำได้ในลักษณะของผู้ช่วยแพทย์ และบ้างยังไม่สามารถทำได้จริง ซึ่งคุณหมอมองว่า อย่างไรก็ดี AI กำลังอยู่ในทิศทางที่น่าสนใจ และอาจมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“แม้ในตอนนี้ AI ยังอยู่ในจุดที่มนุษย์ยังต้องลงไปควบคุมอยู่ แต่ในอนาคต AI อาจเรียบง่ายขึ้น และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถช่วยลดงานของแพทย์ และลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เราในฐานะมนุษย์นี่แหละ ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของ AI ว่าจะไปในทิศทางไหน หาจุดกึ่งกลางอย่างไรให้การเข้ามาของ AI ผสานกับวิชาชีพของมนุษย์ได้โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังครับ”

