ตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Mineral Density) - ใครควรตรวจ ขั้นตอนการตรวจ

ใครควรตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Mineral Density) ความหนาแน่นของมวลกระดูกของคนเรามักจะน้อยลง กระดูกเปราะบางมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงจะเป็นโรคกระดูกพรุนสูงขึ้น กระดูกหักได้ง่ายแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ

แชร์

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก

เมื่ออายุมากขึ้น ความหนาแน่นของมวลกระดูกของคนเรามักจะน้อยลง กระดูกเปราะบางมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงจะเป็นโรคกระดูกพรุนสูงขึ้น  โดยผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงที่จะกระดูกหักได้ง่ายแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย โรคกระดูกพรุนนับว่าเป็นภัยเงียบ เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการหรือสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ จนกว่ากระดูกจะหัก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นที่บริเวณกระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก และกระดูกสันหลัง ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงจึงควรได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกอยู่เสมอ

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกนั้นเหมาะสำหรับ

  • ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนและผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ชายที่อายุ 70 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่น้ำหนักน้อยกว่า 58 กิโลกรัม
  • ผู้ที่มีประวัติกระดูกหักในช่วงวัยผู้ใหญ่
  • ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
  • ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์
  • ผู้ที่สมาชิกในครอบครัวสายตรงมีประวัติกระดูกสะโพกหักจากการได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกนั้นจะตรวจประเมินกระดูกในบริเวณที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคกระดูกพรุนสูง อันได้แก่

  • กระดูกสันหลังบั้นเอว
  • กระดูกต้นขา
  • แขนท่อนปลาย

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกจะช่วย

  • ประเมินว่าผู้ป่วยมีความหนาแน่นมวลกระดูกต่ำหรือไม่ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์กระดูกหัก
  • ประเมินอัตราความเสี่ยงที่กระดูกอาจจะหักได้ในอนาคต
  • ตรวจยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน
  • ตรวจสอบว่าการรักษาโรคกระดูกพรุนได้ผลดีหรือไม่

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกนั้นแตกต่างจากการสแกนกระดูก ซึ่งแพทย์จะทำเพื่อตรวจวินิฉัยกระดูกที่หัก ติดเชื้อ เป็นมะเร็ง และความผิดปกติอื่น ๆ ของกระดูก

การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกประเภทต่าง ๆ

  • Dual-energy X-ray absorptiometry (DXA)
    เป็นการตรวจมวลกระดูกบริเวณข้อมือ สะโพกและกระดูกสันหลัง สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงที่กระดูกจะหักในอนาคต ตรวจวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน และตรวจดูว่าอาการนั้นตอบสนองต่อการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ผลที่ได้นั้นมีความแม่นยำสูง
  • Quantitative computed tomography (CT)
    มักใช้ในการวัดมวลกระดูกสันหลัง ไม่นิยมใช้ตรวจวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
  • การตรวจอัลตราซาวด์
    ใช้ตรวจดูความหนาแน่นของกระดูกส้นเท้าและความเสี่ยงที่กระดูกจะหัก


วิธีเตรียมตัวก่อนการตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก

ก่อนเข้ารับการตรวจ

  • ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบหากเพิ่งได้รับการฉีดสารทึบรังสีหรือกลืนแร่มาเนื่องจากการตรวจ CT สแกนหรือการตรวจเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เพราะสารทึบรังสีอาจมีผลต่อผลการตรวจ
  • งดรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม 24 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการตรวจ
  • ไม่สวมใส่เครื่องประดับใด ๆ เช่น ตุ้มหู ในวันที่เข้ารับการตรวจ

ระหว่างที่เข้ารับการตรวจ

แพทย์จะให้ผู้เข้ารับการตรวจนอนบนโต๊ะตรวจระหว่างที่เครื่องทำการสแกนร่างกายเพื่อวัดมวลกระดูกด้วยรังสีเอกซ์เรย์ในระดับต่ำ โดยจะใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที

หลังเข้ารับการตรวจ

แพทย์จะอธิบายผลการตรวจ โดยผลที่ได้จะแสดงค่าเป็น ค่า T score และ Z score โดยค่า T score นั้นจะเป็นค่าที่เปรียบเทียบมวลกระดูกของผู้เข้ารับการตรวจกับมวลกระดูกโดยเฉลี่ยของผู้ใหญ่วัย 30 ปี ส่วนค่า Z score จะเป็นค่าที่เปรียบเทียบมวลกระดูกของผู้เข้ารับการตรวจกับมวลกระดูกโดยเฉลี่ยของผู้ที่มีอายุเท่ากัน เพศเดียวกัน โดยปกติแล้วแพทย์จะพิจารณาค่า T score เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนในชายวัน 50 ปีขึ้นไปและหญิงวัยหมดประจำเดือน

  • ค่า T score +1 ถึง -1 = ความหนาแน่นของมวลกระดูกปกติ
  • ค่า T score -1 ถึง -2.4 = ความหนาแน่นของมวลกระดูกต่ำ
  • ค่า T score -2.5 หรือต่ำกว่า = โรคกระดูกพรุน


ข้อจำกัดของการตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก

  • การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคด ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังมาก่อน และผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ เพราะผลที่ได้นั้นอาจไม่แม่นยำ
  • เนื่องจากมีการใช้รังสีในการตรวจ จึงไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
  • การตรวจจะช่วยทำให้ทราบว่ากระดูกนั้นมีความหนาแน่นน้อยลง แต่ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุของโรคได้ ผู้เข้ารับการตรวจต้องเข้ารับการตรวจหาสาเหตุอีกครั้งหนึ่ง


วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หากได้รับการตรวจวินิจฉัยว่ามีความหนาแน่นของมวลกระดูกต่ำ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง

ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนยังควรต้องออกกำลังกาย บริโภคแคลเซียมและวิตามินดีมากขึ้น รวมถึงรับประทานยารักษาโรคกระดูกพรุนเพื่อลดความเสี่ยงของการที่กระดูกจะหักในอนาคต

บทความโดย

เผยแพร่เมื่อ: 12 มิ.ย. 2023

แชร์