Follow Us

มะเร็งตับ

ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะเริ่มต้นไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ก้อนในตับมีขนาดใหญ่มากจนทำให้ตับมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจมีอาการต่าง ๆ ตามมา

มะเร็งตับ มี 2 ประเภท ได้แก่ มะเร็งตับชนิด Primary และมะเร็งตับชนิด Secondary

มะเร็งตับชนิด Primary เกิดขึ้นภายในตับแบ่งเป็นสองชนิด ได้แก่ มะเร็งของเนื้อเยื่อของตับ (Hepatocellular Carcinoma) และมะเร็งท่อน้ำดีภายในตับ (Intrahepatic cholangiocarcinoma) ในขณะเดียวกัน มะเร็งตับชนิด Secondary คือการกระจายของมะเร็งที่มีจุดเริ่มต้นที่อวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายมายังบริเวณตับ  (Metastatic Liver Cancer) โดยในบทความนี้จะพูดถึงมะเร็งของเนื้อเยื่อตับชนิด hepatocellular carcinoma (HCC) เท่านั้น

ผู้ป่วยมะเร็งตับมีอาการอย่างไร

ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะเริ่มต้นไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ก้อนในตับมีขนาดใหญ่มากจนทำให้ตับมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจมีอาการดังนี้

  • สังเกตเห็นก้อนเนื้อใต้โครงกระดูกซี่โครง
  • ปวดบริเวณช่องท้องด้านขวาซึ่งอาจร้าวไปยังบริเวณไหล่ขวาได้
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คลื่นไส้ หรือเบื่ออาหาร
  • มีอาการอ่อนเพลีย
  • มีปัสสาวะสีเข้ม หรือผิวหนังและเยื่อบุตามขาวมีสีเหลืองขึ้น
  • ท้องอืด

อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของมะเร็งตับ

มะเร็งตับเกิดจากการกลายพันธุ์และเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ตับ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของตับมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การดื่มสุรา หรือไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี หรือภาวะภูมิต้านตับ (autoimmune hepatitis) อย่างไรก็ดีผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หรือไขมันพอกตับ อาจเกิดมะเร็งตับได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีภาวะตับแข็งนำมาก่อน

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับมีอะไรบ้าง

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับ ได้แก่ โรคตับเรื้อรังชนิดต่าง ๆ ที่กล่าวแล้วข้างต้น นอกจากนี้ปัจจัยเสริมที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวเกินร่วมกับอาจจะมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะไขมันพอกตับ การได้รับสารพิษบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน และปัจจัยทางด้านเพศ โดยพบว่าเพศชายมีโอกาสเป็นมะเร็งตับมากกว่าเพศหญิง

แพทย์วินิจฉัยมะเร็งเซลล์ตับอย่างไร

โดยทั่วไปผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง (รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีด้วย) ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน ร่วมกับตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP) ในเลือด ทุก ๆ 6 เดือนเพื่อเป็นการเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งตับ เมื่อตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจอัลตร้าซาวด์แล้วในลำดับถัดไป แพทย์จะทำการตรวจทางรังสีที่ให้ภาพได้ชัดเจนขึ้น ได้แก่ การการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อทำการยืนยันการวินิจฉัย โดยทั่วไปการอาศัยการตรวจทางรังสีวิทยาที่เข้าได้กับมะเร็งตับ ร่วมกันกับภาวะเสี่ยงจากโรคตับนั้นเพียงพอที่จะให้การวินิจฉัยภาวะมะเร็งตับโดยไม่จำเป็นต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อ


อย่างไรก็ดี ในผู้ป่วยบางรายที่มีโรคตับเรื้อรังแต่การตรวจทางรังสีให้ผลไม่แน่ชัดว่าเข้าได้กับมะเร็งตับ หรือในทางกลับกันในผู้ป่วยที่ภาพทางรังสีเข้ากันได้กับมะเร็งตับแต่ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคตับเรื้อรังเลย อาจจำเป็นต้องทำการเจาะตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

แพทย์รักษามะเร็งเซลล์ตับอย่างไร

โดยทั่วไปการรักษามะเร็งตับจำเป็นต้องคำนึงถึงสองปัจจัย ได้แก่ ขนาดหรือความรุนแรงของตัวก้อนมะเร็ง และสภาพการทำงานของตับของผู้ป่วย เนื่องจากมะเร็งตับมักเกิดในผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็งซึ่งการทำงานของตับลดลง ดังนั้นหากทำการรักษามะเร็งตับโดยไม่คำนึงถึงการทำงานพื้นฐานของตับอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะตับวายได้ ดังนั้น ก่อนทำการรักษามะเร็งตับจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการรักษาโรคตับที่เป็นพื้นฐานให้ตับอยู่ในสภาวะที่พร้อมต่อการทำการรักษา ก่อนที่จะทำการรักษาก้อนมะเร็ง เช่น การรักษาไวรัสตับอักเสบบี การให้ผู้ป่วยหยุดดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด หรือ การให้ยาต้านการอักเสบในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิต้านตับ


หลักการทั่วไปของการรักษามะเร็งตับเมื่อตับอยู่ในสภาวะที่พร้อมจะทำการรักษา จะพิจารณาตามขนาดของก้อนมะเร็งเป็นหลัก ดังนี้

  • ในก้อนมะเร็งขนาดเล็ก อาจทำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด หรือการจี้เข็มความร้อน
  • ก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่ยังไม่ลุกลามเข้าบริเวณเส้นเลือดของตับจะทำการรักษาด้วยการฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปยังเส้นเลือดตับร่วมกับการอุดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง
  • ในก้อนที่มีขนาดใหญ่จนลุกลามเข้าไปยังเส้นเลือดตับหรือมีการกระจายไปยังบริเวณอื่น อาจทำการรักษาด้วยการให้ยา ไม่ว่าจะเป็นยามุ่งเป้า, ยาเคมีบำบัด, การรักษาด้วยสารรังสีผ่านทางเส้นเลือดตับ หรือการฉายแสงเฉพาะที่
  • ในรายที่ก้อนไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ผู้ป่วยไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด หรือการรักษาเฉพาะที่ได้เนื่องจากการทำงานของตับไม่เพียงพอนั้น อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยเข้ารับการปลูกถ่ายตับเป็นราย ๆ โดยต้องพิจารณาจากขนาดของก้อน, การลุกลาม, สภาวะร่างกายโดยรวมและโรคร่วมต่าง ๆ ของผู้ป่วย

เตรียมตัวก่อนพบแพทย์

ผู้ป่วยควรเตรียมข้อมูลก่อนพบแพทย์ เช่น อาการของโรค ยาที่ใช้เพื่อรักษาโรค และคำถามที่จะถามหมอหากมีข้อสงสัย เป็นต้น

เมื่อต้องมาพบแพทย์

ในช่วงที่มีการซักประวัติ แพทย์จะถามคำถามต่าง ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและประเมินความรุนแรงของตัวโรค เช่น อาการเริ่มขึ้นเมื่อไร อาการรุนแรงมากแค่ไหน หรือสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคด้วยหรือไม่ เป็นต้น