มะเร็งเต้านม อาการ การรักษา และปัจจัยเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องรู้

มะเร็งเต้านม อาการ การรักษา และปัจจัยเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องรู้

มะเร็งเต้านม (Breast Cancer, Carcinoma of the Breast) เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในบรรดามะเร็งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในผู้หญิง จะน่ากังวลแค่ไหนที่ในบรรดาเพื่อนผู้หญิงของคุณทั้งหมด 8 คน จะมี 1 คนที่มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม

แชร์

มะเร็งเต้านม อาการ สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องรู้

มะเร็งเต้านม (Breast Cancer, Carcinoma of the Breast) เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุด ในบรรดามะเร็งทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในผู้หญิง ลองคิดง่าย ๆ ว่าน่ากังวลแค่ไหนที่ในบรรดาเพื่อนผู้หญิงของคุณทั้งหมด 8 คน จะมี 1 คนที่มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม (ในขณะที่ผู้ชายมีโอกาสน้อยมาก ๆ เพียง 0.5-1% เท่านั้น)

ปัจจุบันเราจะเห็นผู้ป่วยมะเร็งหลายคน บอกเล่าประสบการณ์การรักษา ความทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงของยา ผ่านโซเชียลกันมากมาย อย่างไรก็ตาม การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง การรักษามะเร็ง จะช่วยคลายกังวลไปได้มาก และบทความนี้ ผู้เขียนซึ่งเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการด้านรังสีรักษา จะทำให้คุณเข้าใจโรคมะเร็งเต้านมในเชิงการแพทย์มากขึ้น

(breast Cancer, Carcinoma of the Breast 2

เต้านมปกติ มีส่วนประกอบอะไรบ้าง

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ภายในเต้านมนั้น ปกติแล้วจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ต่อม (gland) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำนม. ท่อน้ำนม (duct) ซึ่งเป็นท่อทางเดินของน้ำนมไปยังหัวนม และ เนื้อเยื่อห่อหุ้ม (stroma) ที่มีเนื้อเยื่อ (connective tissue) และไขมัน (fatty tissue) ประกอบกัน หากมีปริมาณไขมันมากก็ส่งผลให้เต้านมมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย

ต่อมที่สร้างน้ำนม ประกอบด้วย 15-20 ส่วน (section) เรียกว่า โลบ (lobe) เรียงเป็นวงกลม แต่ละ lobe มี lobe เล็กย่อยเรียกว่า โลบูล (lobule) ประมาณ 20-40 อัน ซึ่ง lobule เหล่านี้เป็นตัวกลั่นน้ำนมออกมา เมื่อพูดถึง มะเร็งเต้านม จึงมักหมายถึง มะเร็งที่เกิดขึ้นที่ต่อม (lobular) และท่อน้ำนม (duct)

  • มะเร็งที่เกิดจากท่อน้ำนม เรียกว่า Invasive ductal carcinoma 
  • มะเร็งที่เกิดจากโลบูลในต่อม เรียกว่า Invasive lobular carcinoma ซึ่งมีอุบัติการณ์น้อยมาก (ประมาณ 10% ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด) การรักษาจึงมักใช้แนวทางเดียวกันกับมะเร็งที่เกิดจากท่อ

สาเหตุของมะเร็งเต้านม เกิดจากอะไร

มะเร็งเต้านมไม่ใช่โรคสมัยใหม่ แต่มีมานานตั้งแต่ยุคโบราณ โดยหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการรายงานคือในมัมมี่อียิปต์ เมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาล (หรือ 4,000 ปีมาแล้ว) จากการตรวจโดย CT scan พบว่าเต้านมข้างหนึ่งของมัมมี่ผู้หญิงคนหนึ่งได้หายไป แสดงให้เห็นว่า โรคนี้มีมานานแล้ว

แม้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งเต้านม จะยังคงเป็นปริศนาทางการแพทย์ แต่จุดเริ่มต้นที่สำคัญ คือ การที่ DNA ในเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง (mutation) เซลล์เหล่านั้นแบ่งตัวมากมายอย่างผิดปกติ (numerous) และร่างกายไม่สามารถควบคุมหรือทำลายได้ เซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้จะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น และแพร่กระจายเข้าไปยังท่อน้ำเหลือง (lymphatic channels) ไปยังต่อมน้ำเหลือง (lymph nodes) และแทรกเข้าผนังเส้นเลือด (blood vessels) จากนั้นเซลล์มะเร็งก็เข้าสู่กระแสเลือด (vascular invasion) และแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป (distant metastasis) เช่น ปอด ตับ กระดูก และสมอง และทำลายอวัยวะเหล่านั้น

Evolution and Treatment of Breast Cancer by Stage 3 (1)

เรามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะเป็นมะเร็งเต้านม

แม้ตอนนี้ยังไม่มีอาการผิดปกติบริเวณเต้านม แต่ผู้หญิงหลายคนกังวลและอยากแน่ใจว่าตนเองไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็น ในทางการแพทย์ได้รวบรวมข้อมูลจากการสังเกต พบว่ามีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง (risk factors) ต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ได้แก่

  • การเริ่มมีประจำเดือน (menstrual) ตั้งแต่อายุก่อน 12 ปี หรือ หมดประจำเดือน (menupause) หลังจากอายุ 55 ปี 
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (alcohol) ในปริมาณมาก 
  • ไม่เคยตั้งครรภ์ (nulliparous) หรือ มีบุตรคนแรกเมื่ออายุมาก (เช่น หลังอายุ 30 ปี)
  • อายุมาก 
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะผู้ที่มียีนมะเร็ง เช่น BRCA1 และ BRCA2 
  • การได้รับฮอร์โมนเพศหญิงทดแทนหลังจากหมดประจำเดือน (hormone replacement therapy) 
  • ภาวะอ้วน (obesity) 
  • เคยได้รับรังสีที่บริเวณทรวงอกตั้งแต่วัยเด็ก เช่น รักษาต่อมไทมัสโต (enlarged Thymus gland)

มะเร็งเต้านม ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งมีโอกาสรักษาหายได้ หากมีความเสี่ยงด้วยปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม หรือตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรม เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม: การตรวจหายีนผิดปกติ หรือ ยีนกลายพันธุ์ ใน DNA เพื่อคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรม ประเมินความเสี่ยงการเกิดโรค

สถิติและสถานการณ์ของมะเร็งเต้านม (Incidence of Breast cancer)

หลายประเทศทั่วโลกมีการเก็บข้อมูลจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอยู่เป็นระยะ โดยปี ค.ศ.2022 ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม 670,000 ราย ปีนี้ (ค.ศ.2025) คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วย 316, 950 คน ที่เป็นผู้หญิง และ 2,800 คน ที่เป็นผู้ชาย

ในขณะที่สถานการณ์มะเร็งเต้านมในประเทศไทย จากรายงานปี ค.ศ.2024 (พ.ศ.2567) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลไม่น้อย

  • อัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นเป็น 30.4 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ในขณะที่รายงานก่อนหน้า มี 20.5 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้อาจหมายถึงมีผู้ป่วยรายใหม่มากขึ้นจริง ๆ หรืออีกนัยหนึ่งอาจเป็นเพราะประชาชนเริ่มตระหนัก และเข้าถึงบริการทางการแพทย์มากขึ้น ไม่ได้ละเลยการมาพบแพทย์เหมือนในอดีต
  • อัตราการเสียชีวิตไม่ลดลง แม้จะมีการรณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมอย่างต่อเนื่อง แต่สถิติในประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า อัตราการเสียชีวิตในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ลดลงไปเลย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงมาพบแพทย์ในระยะท้าย ๆ ของโรค ซึ่งทำให้การรักษาให้หายขาดเป็นไปได้ยาก

Evolution and Treatment of Breast Cancer by Stage 4

อาการของมะเร็งเต้านม ในแต่ละระยะของโรค

มะเร็งเต้านม ไม่ได้แสดงอาการที่ชัดเจนเหมือนกันในทุกคน เพราะอาการจะขึ้นอยู่กับ ระยะของโรค ซึ่งยิ่งพบเร็ว โอกาสในการรักษาให้หายหรือได้ผลดีก็จะยิ่งสูงขึ้น มะเร็งเต้านมระยะต้น ก้อนมะเร็งมักมีขนาดเล็ก จึงไม่สามารถคลำเจอได้ บางรายอาจจะไม่มีอาการเลย แต่มารู้ตัวโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปี

เมื่อก้อนมะเร็งเจริญเติบโตจนเป็นก้อนที่ใหญ่ขึ้น อาจไปรบกวนเส้นประสาท จนส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บที่เต้า หรือหากก้อนมะเร็งอยู่ใกล้ผิวหนังก็อาจคลำเจอได้เอง บางรายสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น สีคล้ำขึ้น ผิวหนังขรุขระเหมือนผิวส้ม มีเลือดออกที่หัวนมในกรณีที่ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าไปผนังเส้นเลือด 

ในรายที่เป็นมากแล้วอาจจะพบว่าต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ (axillary lymph node) โตขึ้น เนื่องจากเซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปตามระบบน้ำเหลือง ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการที่บ่งชี้ว่าโรคลุกลามไปไกลแล้ว ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และการเข้ารับการตรวจแมมโมแกรม (mammogram, ultrasound) เป็นประจำ เพราะถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันและรักษามะเร็งเต้านมให้ได้ผลดีที่สุด อายุที่ควรเริ่มทำ mammogram คือ 40 ปี และควรทำทุก 2 ปี ถ้าแพทย์พบความผิดปกติแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ อาจแนะนำให้ตรวจติดตามด้วยการทำ ultrasound ที่ 6 เดือนต่อมา

อ่านเพิ่มเติม: รีวิว ตรวจมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่อง 3D ดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์

ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยมะเร็งเต้านม (Investigation)

เมื่อพบความผิดปกติที่น่าสงสัยในเต้านม ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งเต้านมจริงหรือไม่ และประเมินระยะของโรค เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

  1. ซักประวัติ แพทย์จะเริ่มด้วยการซักประวัติอย่างละเอียด รวมถึงประวัติการมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การใช้ยาฮอร์โมน และประวัติครอบครัว เพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้อง
  2. ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจเต้านมเพื่อหาตำแหน่งและขนาดของก้อนมะเร็ง และต่อมน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังมีการตรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ เพื่อดูว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปที่อื่นแล้วหรือยัง
  3. การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพื่อยืนยันการวินิจฉัย แพทย์จะนำชิ้นเนื้อของก้อนมะเร็งมาตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อดูว่าเป็นมะเร็งจริงหรือไม่ รวมถึงการหาข้อมูลเชิงลึกอย่างการตรวจ Immunohistochemistry (IHC) เพื่อหาลักษณะเฉพาะของเซลล์มะเร็ง เช่น
    • ตัวรับฮอร์โมน ตรวจหา Estrogen receptor (ER) และ Progesterone receptor (PR) ซึ่งเป็นประโยชน์ในการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน
    • โปรตีน HER2 ตรวจหา Human Epidermal growth factor receptor 2 (HER2) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในการพิจารณาการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)
    • Ki-67 ตรวจเปอร์เซ็นต์ของโปรตีนนี้ ซึ่งบ่งบอกถึงอัตราการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยิ่งมีค่าสูง หมายถึงเซลล์มะเร็งกำลังแบ่งตัวกันมาก เติบโตเร็ว (Proliferative index)
    • ยีน TP53 ตรวจหายีนที่ทำหน้าที่ควบคุมโปรตีน P53 ซึ่งเป็นยีนที่ถูกเรียกว่าเป็น ยีนยับยั้งการเกิดมะเร็ง (Tumor suppressor gene) อุบัติการณ์ (incident) ที่มี TP53 คือประมาณ 30% ของผู้ป่วย

นอกจากวิธีการตรวจข้างต้นแล้ว ยังมีการตรวจที่ค่อนข้างใหม่ แต่มีประโยชน์อย่างมาก และได้รับการแนะนำอย่างกว้างขวาง นั่นคือ Oncotype DX 21-score เป็นการตรวจ genes 21 ชนิดในเซลล์มะเร็ง เพื่อคำนวณคะแนนออกมาว่า ผู้ป่วยรายนี้มีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์ที่โรคจะแพร่กระจาย (distant relapse) หากคะแนนที่ได้ต่ำมาก หมายความว่าโอกาสที่มะเร็งจะกลับมาหรือแพร่กระจายมีน้อยมาก แพทย์อาจพิจารณาไม่ให้เคมีบำบัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ซึ่งช่วยลดการทรมานจากผลข้างเคียง (side effects) จากยาเคมีและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตรวจนี้ค่อนข้างสูง โดยอยู่ที่ประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 129,720 บาท ณ เดือนมิถุนายน 2568)

Evolution and Treatment of Breast Cancer by Stage 5

การตรวจหาระยะของมะเร็งเต้านม เพื่อวางแผนในการรักษา

สิ่งสำคัญต่อไปที่ผู้ป่วยทุกคนต้องทำคือการ ตรวจหาระยะของโรค (staging) โดย CT scan, Whole body PET/CT scan, Brain MRI เนื่องจากวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะที่ตรวจพบเป็นหลัก เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ ระยะของมะเร็งเต้านม จะถูกกำหนดโดยระบบ TNM ซึ่งเป็นตัวย่อที่ใช้เพื่ออธิบายขอบเขตของโรคใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

  • T (Tumor) บอกถึง ขนาดของก้อนมะเร็ง
  • N (Node) บอกถึงการแพร่กระจายของมะเร็งไปยัง ต่อมน้ำเหลือง
  • M (Metastasis) บอกถึงการแพร่กระจายของมะเร็งไปยัง อวัยวะที่อยู่ห่างไกล

ทั้ง T และ N มีการแบ่งละเอียดปลีกย่อยไปอีก ตัวอย่างเช่น ขั้นที่ 1 B ก้อนมะเร็งไม่ปรากฏที่เต้านม แต่มีเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ขนาดไม่ใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตร (millimeter) เรียกว่า micro metastasis โดยเห็นทางกล้องจุลทรรศน์ (microscope) เท่านั้น

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เราสามารถสรุปแต่ละระยะของมะเร็งเต้านมได้ ดังนี้

  • ระยะที่ 0 (Stage 0) เป็นระยะเริ่มต้นที่เซลล์มะเร็งยังคงอยู่เฉพาะบริเวณ ผิวของท่อน้ำนม เท่านั้น ยังไม่มีปรากฎการก่อตัวเป็นก้อน
  • ระยะที่ 1 (Stage I) ก้อนมะเร็งมีขนาด เล็กกว่า 2 ซม. และยัง ไม่แพร่กระจาย ไปยังต่อมน้ำเหลือง
  • ระยะที่ 2 (Stage II) ก้อนมะเร็งมีขนาด 2-5 ซม. และแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว หรือก้อนมะเร็งมีขนาด ใหญ่กว่า 5 ซม. แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
  • ระยะที่ 3 (Stage III) ก้อนมะเร็งมีขนาด ใหญ่กว่า 5 ซม. และแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว หรือก้อนมะเร็งไม่ปรากฏ แต่มีการลุกลามเข้าสู่ ผิวหนังของเต้านม หรือ ผนังทรวงอก (chest wall)
  • ระยะที่ 4 (Stage IV) มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไปทั่วร่างกาย เช่น ปอด ตับ หรือกระดูก

Evolution and Treatment of Breast Cancer by Stage 6

การรักษามะเร็งเต้านม (Treatment of Breast cancer)

การรักษามะเร็งเต้านม ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว การรักษามักจะประกอบด้วยหลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค

Evolution and Treatment of Breast Cancer by Stage 7

  1. การผ่าตัด (Surgery) เป็นวิธีหลักที่มักจะใช้เป็นอันดับแรกในการรักษามะเร็งเต้านม โดยมีเป้าหมายเพื่อนำก้อนมะเร็งออกไปจากร่างกาย แต่การผ่าตัดสมัยใหม่ได้พัฒนาไปมาก และไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตัดเต้านมทิ้งเท่านั้น แต่ยังมีการผ่าตัดที่สามารถเก็บเต้านมไว้ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
  2. รังสีรักษา (Radiation therapy) เป็นการใช้พลังงานรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่ จึงมักจะทำหลังจากการผ่าตัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ แต่สมัยนี้อาจจะถูกกั้นกลางโดยเคมีบำบัดก่อน
  3. เคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นการรักษาโดยยาซึ่งไปทั่วตัว จึงควรเรียก Systemic treatment เพราะมียาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เคมีรักษามะเร็งเต้านม ทำให้ลดผลข้างเคียงของการรักษา เพราะยาเคมีไม่เพียงทำลายเซลล์มะเร็งเท่านั้น เขายังทำลายเซลล์ปกติที่ดี ๆ เช่น ไขกระดูก (bone marrow) ซึ่งสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อร่างกายไปด้วย 
    เช่นเดียวกับการผ่าตัด การรักษาโดย Systemic treatment ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่น่ายินดีสำหรับผู้ป่วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความโดย

เผยแพร่เมื่อ: 31 ต.ค. 2025

แชร์

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

  • Link to doctor
    นพ. ยงยุทธ คงธนารัตน์

    นพ. ยงยุทธ คงธนารัตน์

    • รังสีรักษามะเร็งวิทยา
    Radiation Oncology, Breast Cancer, มะเร็งต่อมลูกหมาก, Intensity-Modulated Radiotherapy (IMRT), Image-Guided Radiotherapy (IGRT), Stereotactic Radiotherapy (SRT), Stereotactic Radiosurgery (SRS)
  • Link to doctor
    นพ. ธีรกุล จิโรจน์มนตรี

    นพ. ธีรกุล จิโรจน์มนตรี

    • รังสีรักษามะเร็งวิทยา
    Intensity-Modulated Radiotherapy (IMRT), Volumetric Modulated Arc Therapy (VMAT), Radiation Oncology
  • Link to doctor
    พญ. นารีนาฎ รัชพงษ์ไทย

    พญ. นารีนาฎ รัชพงษ์ไทย

    • รังสีรักษามะเร็งวิทยา
    Radiation Oncology