เลือกหัวข้อที่อ่าน
มะเร็งปอด
มะเร็งปอด (Lung cancer) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทยและผู้คนทั่วโลก มะเร็งปอดได้กลายเป็นภัยเงียบคร่าชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง เนื่องจากมะเร็งปอดสามารถพัฒนาและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่แสดงอาการใด ๆ จนกระทั่งเซลล์มะเร็งได้ลุกลามเป็นบริเวณกว้าง ผู้ป่วยจึงจะสังเกตอาการได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเราทุกคนจะพอทราบถึงสาเหตุ และปัจจัยของโรคมะเร็งปอด แต่มีผู้ป่วยเพียงจำนวนน้อยมาก ที่สามารถตรวจพบมะเร็งปอดได้ในระยะแรกเริ่ม
สาเหตุของมะเร็งปอด เกิดจากอะไร?
สาเหตุของมะเร็งปอด เกิดจากการแบ่งตัวแบบผิดปกติของเซลล์ภายในปอดอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์ที่เสียหายเกิดจากการกลายพันธุ์ (Mutation) พัฒนาเป็นมวลหรือก้อนเนื้อร้ายที่ไปขัดขวางกระบวนการการทำงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย โดยทั่วไปแล้วมะเร็งปอดจะเริ่มเกิดขึ้นเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณถุงลมขนาดเล็กภายในปอด แล้วจึงลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ โดยรอบ
มะเร็งปอดมีกี่ประเภท?
มะเร็งปอดสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทตามชนิดขนาดของเซลล์มะเร็ง
- มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก (Small cell lung cancer)
มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก เป็นมะเร็งปอดชนิดที่สามารถเติบโตได้อย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่ามะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็ก มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็กมักพบได้ในผู้ป่วยที่มีประวัติการสูบบุหรี่อย่างหนักและต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน หรือเป็นผู้ที่สูดดมควันบุหรี่มือสอง เขม่าควัน ฝุ่นละออง PM2.5 - มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็ก (Non-small cell lung cancer)
มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็ก เป็นมะเร็งปอดชนิดที่พบบ่อยที่สุด (กว่า 85-90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็ง) โดยทั่วไป มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็กเป็นมะเร็งที่เติบโตและแพร่กระจายได้ช้ากว่ามะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยกรรมวิธีการรักษาทางการแพทย์ หากได้รับการวินิจฉัยตรวจพบและรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
มะเร็งปอดมีกี่ระยะ?
ระยะของมะเร็งปอดอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง หลักเกณฑ์ในการประเมินระยะของมะเร็งปอดขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนั้น ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยระยะการลุกลามของเซลล์มะเร็ง เพื่อที่แพทย์จะได้วางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงจุดให้กับผู้ป่วยได้มากที่สุด
มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก มี 2 ระยะ
- ระยะจำกัด (Limited stage) พบเซลล์มะเร็งที่ปอดและต่อมน้ำเหลืองข้างเดียวกัน 1 ข้าง
- ระยะลุกลาม (Extensive stage) เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วปอดและออกนอกบริเวณช่องทรวงอกข้างนั้น ไปสู่ของเหลวรอบๆปอด และหรือกระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ เช่น สมอง
มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็ก มี 4 ระยะ
- ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มมีการก่อตัวที่ปอดส่วนบนหรือบริเวณหลอดลม ในระยะนี้เซลล์มะเร็งจะยังไม่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของปอดหรือลุกลามออกนอกปอด ในระยะนี้ ผู้ป่วยจะไม่แสดงออกซึ่งอาการใด ๆ ของโรคมะเร็ง
- ระยะที่ 2 มะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองภายในปอด มะเร็งอาจจับตัวเป็นก้อนที่กลีบปอด 1 ก้อนหรือมากกว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดในระยะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก
- ระยะที่ 3 มะเร็งขยายตัวและมีขนาดใหญ่กว่าในระยะที่ 2 ในระยะนี้มะเร็งได้ลุกลามไปยังกลีบปอดอื่น มะเร็งอย่างน้อยหนึ่งก้อนก่อตัวขึ้นที่บริเวณกลีบปอดข้างเดียวกัน บริเวณต่อมน้ำเหลือง และเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่อยู่ระหว่างปอดทั้งสองด้าน
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ปอดอีกข้าง ของเหลวที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงหัวใจ หรือต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอ ตับ กระดูก ต่อมหมวกไต และสมอง
มะเร็งปอดมีอาการอย่างไร?
มะเร็งปอดในระยะแรกเริ่มจะไม่แสดงออกซึ่งอาการใด ๆ อาการบางอย่าง เช่น ไอ เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า อาจเกิดขึ้นได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยจำนวนมากจึงชะลอการตรวจคัดกรองเบื้องต้น จนกระทั่งมะเร็งได้พัฒนาเข้าสู่ระยะลุกลาม
สัญญาณและอาการของโรคมะเร็งปอด ได้แก่
- ไอเรื้อรัง เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ยาวนาน
- ไอเป็นเลือด
- หายใจหอบถี่
- เสียงแหบ
- หายใจเสียงหวีด
- ปวดศีรษะ
- เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า
- มีอาการเจ็บที่บริเวณหน้าอก หรือเจ็บบริเวณหน้าอกส่วนบน
- รู้สึกเบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดบริเวณไหล่
- ปวดกระดูก
- มีอาการบวมที่บริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด สามารถจำแนกเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น การสูบบุหรี่ และปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น พันธุกรรม การตระหนัก ตื่นตัวต่อปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้
การสูบบุหรี่
บุหรี่เป็นปัจจัยหลักที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ากว่า 80% ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ดังนั้น ผู้สูบบุหรี่จึงมีแนวโน้มที่จะตรวจพบมะเร็งปอดหรือเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ แม้แต่การสูบบุหรี่เพียงไม่กี่มวนต่อวัน หรือสูบเป็นบางโอกาสก็ยังสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ การสูบบุหรี่สามารถทำให้เกิดมะเร็งในทุกส่วนของร่างกาย การเลิกสูบบุหรี่จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้
ควันบุหรี่มือสอง
ควันบุหรี่มือสอง ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด ควันบุหรี่มือสองคือควันบุหรี่ที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้หายใจ สูดดมเอาควันบุหรี่จากผู้ที่สูบบุหรี่เข้าไป การสูดดมควันบุหรี่มือสองแม้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงตามมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องอยู่รายล้อมผู้ที่สูบบุหรี่ เช่น เด็กเล็ก ทารก และผู้ที่ใกล้ชิดหรือบุคคลในครอบครัวของผู้ที่สูบบุหรี่ ควันบุหรี่มือสองจะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งสามารถนำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอื่น ๆ
มีประวัติเคยผ่านการฉายรังสีเพื่อรักษามะเร็งมาก่อน
บุคคลที่เคยมีประวัติการรักษาด้วยการฉายรังสี เช่น ที่บริเวณส่วนหน้าอก เต้านม หรือเคยฉายรังษีเพื่อรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำได้อีกครั้ง
การสัมผัสกับก๊าซเรดอน แร่ใยหิน และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ
ก๊าซเรดอน (Radon) แร่ใยหิน (Asbestos) และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ เช่น ยูเรเนียม (Uranium) ไอเสียจากดีเซล หรือผลิตภัณฑ์จากถ่านหิน เป็นสารอันตรายที่สามารถฟุ้งกระจาย เป็นมลพิษในอากาศ การหายใจเอาสารพิษดังกล่าวเข้าไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ มักติดอยู่ตามโครงสร้างอาคาร สถานที่ทำงาน หรือที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามสารเหล่านี้สามารถควบคุมได้โดยการเพิ่มระบบระบายอากาศภายในอาคารสถานที่เพื่อช่วยฟอกอากาศ
มะเร็งที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ หรือ Family Cancer Syndromes
กลุ่มบุคคลที่มีประวัติ Family Cancer Syndromes หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเดียวกันป่วยด้วยโรคมะเร็ง ย่อมมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งมากกว่ากลุ่มบุคคลที่ไม่มีประวัติ มะเร็งที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์นี้เกิดจากการถ่ายทอดของยีนพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับเซลล์มะเร็งบางชนิด อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า กว่า 80% ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในบุคคลกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งปอด
- การตรวจสอบมะเร็งปอด: แนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังสูบบุหรี่เป็นประจำหรือ ผู้ใหญ่ที่เคยสูบบุหรี่จัดมาหลายปีทำการสแกน CT ปีละหน แพทย์อาจทำการตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยได้หลากหลายวิธี
- การเอกซเรย์ปอด: การทำ computed tomography (CT) scan หรือ ซีทีแสกน จะทำให้เห็นตำแหน่งของเนื้อเยื้อที่ต้องการตรวจสอบอย่างแม่นยำ กว่าการทำเอกซเรย์ปอดแบบธรรมดา
- การตรวจเสมหะ: การตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ บางครั้งสามารถพบเซลล์ผิดปกติที่เป็นมะเร็งภายในปอดได้
- การตัดชื้นเนื้อเพื่อวิเคราะห์ (Biopsy): การเจาะเข็มขนาดเล็กเข้าไปในปอดและเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อที่สงสัยเพื่อส่งตรวจ มักทำคู่กับ ซีทีแสกนเพื่อชี้ตำแหน่งของเนื้อเยื้อที่ผิดปกติ
- การส่องกล้องตรวจภายในหลอดลม (Bronchoscopy): สอดกล้องขนาดเล็กที่มีไฟส่องสว่างที่ปลายผ่านลำคอลงไปที่ปอด เพื่อตรวจดูบริเวณของปอดที่อาจมีเนื้อเยื้อผิดปกติ
- การตรวจช่องกลางทรวงอกโดยการส่องกล้อง (Mediastinoscopy): ทำการผ่าตัดบริเวณส่วนบนของกระดูกอกและนำตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือต่อมน้ำเหลืองออกมาตรวจ
อาจมีการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากบริเวณอื่น ที่มีการแพร่กระจายของมะเร็ง เช่น ตับ การวินิจฉัยชนิดของมะเร็งปอดนั้นมีความสำคัญต่อการรักษาเพราะจะช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
วิธีการรักษามะเร็งปอด
การรักษามะเร็งปอด จะได้ผลดีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สุขภาพโดยทั่วไปของผู้ป่วย ประเภทและระยะของโรค และความต้องการส่วนบุคคล
- การผ่าตัด (Surgery): เพื่อขจัดเนื้องอกมะเร็งภายในปอดออก นอกจากนี้อาจมีการนำต่อมน้ำเหลืองที่หน้าอกออกมาทำการวินิจฉัยเพึ่มเติม การผ่าตัดเป็นทางเลือกหลักสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ยังไม่มีการแพร่กระจายเพราะสามารถหายขาดได้ ในบางกรณี อาจใช้การฉายแสงหรือใช้เคมีบำบัดเพื่อลดขนาดก้อนมะเร็งก่อนการผ่าตัด
- การบำบัดด้วยรังสี (radiotherapy): ใช้รังสีที่มีพลังงานสูงเพื่อลดขนาดเนื้องอกโดยการฆ่าทำลายเซลล์มะเร็ง วิธีนี้มักใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในช่วงก่อนและหรือหลังการผ่าตัด การรักษาด้วยรังสีอาจเป็นทางเลือกหลักในการรักษาสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะลุกลาม
- การให้ยาเคมีบำบัด (chemotherapy): ใช้ยาเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งผ่านการกินหรือฉีดเข้าเส้นเลือดนอกจากนี้เคมีบำบัดยังสามารถใช้บรรเทาอาการปวดที่เกิดจากมะเร็ง
- การรักษามะเร็งด้วยยาแบบมุ่งเป้า (targeted therapy): การรักษาด้วยยาแบบกำหนดเป้าหมายจะเน้นการทำให้เซลล์มะเร็งตายโดยการหยุดยั้งการเจริญเติบโตผิดปกติภายในเซลล์โดยไม่ส่งผลต่อเซลล์ปกติ โดยส่วนใหญ่จะตรวจชนิดการกลายพันธุ์ของยีนก่อน
- การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): อาศัยหลักการใช้ภูมิคุ้มกันเพื่อจัดการกับเซลล์มะเร็งในร่างกายผ่านการได้รับยาเพื่อรบกวนกระบวนการผลิตโปรตีนที่เซลล์มะเร็งใช้ในการป้องกันไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเซลล์มะเร็ง
- การรักษาแบบผสมผสานและการจัดการกับความเจ็บปวด (Palliative care and pain management): เป็นรูปแบบการดูแลประคับประคองให้ผู้ป่วย มีสุขภาพจิตที่แข็งแรงหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งและรับเข้าการรักษา มีวิจัยเสนอว่าโดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยมะเร็งสามารถมีอายุยืนกว่าถึง 3 เดือนหากได้รับกำลังใจที่ดีจากคนรอบข้าง
การดูแลตัวเองที่บ้านสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอด
- การควบคุมการหายใจ ความรู้สึกหายใจไม่ออก เป็นความรู้สึกที่ทนทุกข์ทรมานทำให้มีความวิตกกังวล คนที่มีภาวะหายใจลำบากจะเหนื่อยเร็ว การฝึกสมาธิด้วยวิธีเพ่งลมหายใจ จะช่วยให้ผ่อนคลายโดยกำหนดจิตที่กล้ามเนื้อของระบบการหายใจ นอกจากนี้ การโน้มตัวไปข้างหน้าจะช่วยให้หายใจคล่องขึ้น
เราจะป้องกันมะเร็งปอดได้อย่างไร
เราสามารถลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งปอดลงได้ ถ้าเราใช้มาตรการเหล่านี้ในการลดหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
- หยุดสูบบุหรี่
ไม่สูบบุหรี่หรือหยุดสูบบุหรี่ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดสําหรับตัวเองและบุคคลรอบข้าง ทันทีที่หยุดสูบ เนื้อเยื่อปอดที่เสียหายจะเริ่มซ่อมแซมตัวเองและช่วยเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น การเลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาหรือใช้เครื่องมือช่วยเพื่อให้เลิกบุหรี่ เช่น ผลิตภัณฑ์ทดแทนนิโคติน ยาช่วยให้เลิก หรือรับคำแนะนำอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ - หลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
หลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง ควันบุหรี่มือสองคือตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดแม้กระทั่งกับผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อกรองสารพิษ การอยู่ให้ห่างจากพื้นที่สูบบุหรี่ซึ่งมีควันบุหรี่หนาแน่นสามารถลดความเสี่ยงจากการรับสารก่อมะเร็งได้ - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง - ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายคือยาที่ดีที่สุด การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลไกการทำงานของร่างกายโดยรวม ช่วยปรับปรุงการทำงานของสมอง ช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยเรื้อรังและทุพพลภาพ ทั้งยังช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการทำกิจกรรมและป้องกันการหกล้ม และยังช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาว
PM2.5 เกี่ยวข้องกับมะเร็งปอดหรือไม่?
เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากThe Francis Crick Institute and University College London นำเสนอผลการวิจันที่ ESMO congress 2022 พบว่ามลพิษ PM2.5 กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในเซลล์ของระบบทางเดินหายใจอย่างมีนัยสำคัญ คนปกติส่วนหนึ่งอาจมีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR อยู่แล้วตัวหนื่ง การกลายพันธุ์ของยีน EGFR ตัวที่สองที่ยังปกติอยู่จากมลพิษ PM2.5 เป็นกลไกนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปอดได้ในเวลาสั้น
PM2.5 กระตุ้นให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่เป็นประจำ การศึกษายังพบว่าอีกว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมากระหว่างผู้ที่ได้รับ PM2.5 กับการป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด แม้แต่ในผู้ที่ไม่มีประวัติการสูบบุหรี่มาก่อน
การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเป็นประจำทุกปี
จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (ประเทศไทย) มะเร็งปอดอยู่ในรายชื่อมะเร็ง 5 อันดับแรกที่พบในประเทศไทยและทั่วโลก จำนวนของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นทุกปี การตรวจพบมะเร็งปอดตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษามะเร็งปอดให้หายได้ ผู้ที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเป็นประจำทุกปี ได้แก่ ผู้ที่มีปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดหรือมากกว่า ดังนี้
- ผู้ที่มีประวัติการสูบบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานหลายปี
- ผู้ที่สูดดมควันบุหรี่มือสอง
- ผู้ที่สัมผัสกับมลพิษในอากาศ สารเคมี ก๊าซเรดอน หรือฝุ่นละออง PM2.5
- ผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-80 ปี
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง