สาเหตุ อาการ การรักษาลมพิษ - Urticaria (Hives): Causes, Symptoms, Treatments

ลมพิษ (Urticaria) สาเหตุ อาการ การรักษา

ลมพิษ (Urticaria, hives) หรือ ผื่นลมพิษ คือ ผื่นผิวหนังที่มีอาการคัน บวม เป็นผื่น ปื้นนูนแดง เป็นแนวยาว มีขอบชัดเจนที่บริเวณส่วนหนึ่งส่วนใดของผิวหนัง หรือกระจายตัวทั่วร่างกายคล้ายแมลงสัตว์กัดต่อย ลมพิษ เป็นปฏิกิริยา

แชร์

เลือกหัวข้อที่อ่าน


ลมพิษ (Urticaria, hives)

ลมพิษ (Urticaria, hives) หรือ ผื่นลมพิษ คือ ผื่นผิวหนังที่มีอาการคัน บวม เป็นผื่น ปื้นนูนแดง เป็นแนวยาว มีขอบชัดเจนที่บริเวณส่วนหนึ่งส่วนใดของผิวหนัง หรือกระจายตัวทั่วร่างกายคล้ายแมลงสัตว์กัดต่อย ลมพิษ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ที่ไปสัมผัสโดน ผื่นลมพิษ มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันตั้งแต่มิลลิเมตรจนถึงฝ่ามือ ลมพิษ บรรเทาได้ด้วยยาแก้แพ้และสามารถหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง ลมพิษชนิดเฉียบพลันอาจทำให้มีอาการแน่นหน้าอก หอบหืด หายใจไม่สะดวก จนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรรีบนำส่ง รพ. เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว

ลมพิษ มีกี่ชนิด?

ลมพิษ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดตามระยะเวลาในการดำเนินโรค ได้แก่

  1. ลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute urticaria) เป็นลมพิษชนิดที่มีอาการต่อเนื่องไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่สามารถหายได้ภายใน 1 สัปดาห์ และมีเพียงร้อยละ 40 ที่จะกลายเป็นลมพิษชนิดเรื้อรัง
  2. ลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic urticaria) เป็นลมพิษชนิดที่มีอาการมากกว่า 6 สัปดาห์ โดยจะมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 1 ปี ลมพิษชนิดเรื้อรัง อาจเกิดขึ้นได้เองหรือเกิดจากปัจจัยกระตุ้น

ลมพิษ มีสาเหตุเกิดจากอะไร - What causes urticaria (hives)?

ลมพิษ มีสาเหตุเกิดจากอะไร?

  1. ลมพิษที่เกิดจากการทำงานที่แปรปรวนของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เช่น ลมพิษเรื้อรัง ซึ่งเกิดการหลั่งของภูมิต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดลมพิษ โดยไม่ได้มีสาเหตุจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) จากภายนอก 
  2. ลมพิษที่เกิดจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ หรือจากสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำจากเคมีภัณฑ์ โดยร่างกายจะหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) โปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ในเนื้อเยื่อ เส้นเลือดฝอย และปลายประสาทใต้ชั้นผิวหนังเพื่อแสดงอาการแพ้ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดลมพิษ ได้แก่
    • แพ้อาหารบางชนิด เช่น อาหารทะเล แป้งสาลี ถั่ว ถั่วเหลือง ข้าสาลี ไข่ นม สีผสมอาหาร สารกันบูด
    • แพ้ยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาแอสไพริน (Aspirin) อินซูลิน (Insulin) มอร์ฟิน (Morphine) ยาควบคุมความดันโลหิตสูง (ACE inhibitor) หรือยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
    • แพ้สารเคมีบางชนิดในวัตถุต่าง ๆ เช่น แพ้วัสดุที่ทำจากยางพารา
    • แพ้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แพ้เหล็กในสัตว์มีพิษ แพ้ไรฝุ่น แพ้ขนสัตว์ แพ้พืชบางชนิด แพ้พันธุ์ไม้เลื้อยที่มีพิษ แพ้ละอองเกสรดอกไม้ แพ้พันธุ์ไม้ที่มีขนคัน เช่น ตำแย หญ้า
    • แพ้ยางของพืช ยางผลไม้ เช่น ยางพารา ยางกล้วย ยางมะม่วง 
    • แพ้กีวี่ แพ้เกาลัด
    • แพ้เครื่องสำอางบางชนิด
    • โรคบางโรค เช่น ภูมิแพ้ โรคต่อมไทรอยด์ โรคลูปัส โรคหลอดเลือดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ มะเร็งบางชนิด โรคโควิด 19
    • การติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือพยาธิ
    • แพ้อากาศ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การสัมผัสกับอากาศร้อนหรือเย็น แสงแดด รังสี UV เหงื่อ
    • การใส่เสื้อผ้ารัดแน่น เข็มเข็ดรัดแน่น ที่ทำให้เกิดการเสียดสีที่ผิวหนัง
    • แพ้สารสารทึบแสง (Contrast Media) ที่ใช้ในการตรวจทางรังสีวิทยา เช่น CT Scan หรือ MRI
    • ความเครียด ความวิตกกังวล
    • การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ

ลมพิษ มีอาการอย่างไร - What are the symptoms of urticaria (hives)?

ลมพิษ มีอาการอย่างไร?

อาการลมพิษมีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันตามสาเหตุของอาการแพ้ และการตอบสนองของร่างกายของแต่ละบุคคล โดยมีอาการดังนี้

  • ผื่นขึ้นเป็นปื้น บวมนูน มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันตั้งแต่ 0.5-10 ซม. มีขอบชัดเจน ไม่มีขุย
  • ผื่นสีแดง หรือสีชมพูที่กดลงตรงกลางแล้วซีด กระจายตัวทั่วทั้งร่างกาย หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
  • ผื่นที่มีอาการคันอย่างมาก มีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน
  • ผื่นคันที่เกิดขึ้นแล้วหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผื่นคันที่เป็น ๆ หาย ๆ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องยาวนานร่วมเดือน
  • ผื่นคันที่มักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับอากาศร้อนหรือเย็น แสงแดด เหงื่อ เมื่อออกกำลังกาย หรือมีความเครียด

ลมพิษชนิดแพ้รุนแรง มีอาการดังนี้

  • ผื่นลมพิษกระจายตัวทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วทั้งแขน ขา ใบหน้า รอบดวงตา รอบปาก
  • อาการหน้าบวม ปากบวม ตาบวม คล้ายอาการแองจีโออีดีมา (Angioedema) 
  • อาการในระบบทางเดินหายใจ เช่น ทางเดินหายใจตีบตัน หอบหืด แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก 
  • อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น มีอาการแน่นหน้าอก ความดันโลหิตต่ำ
  • อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย
  • วิงเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม มีไข้ ปวดข้อต่าง ๆ ตามร่างกาย

ลมพิษ วินิจฉัยอย่างไร - How is urticaria diagnosed?

ลมพิษ วินิจฉัยอย่างไร?

แพทย์จะตรวจวินิจฉัยลมพิษเบื้องต้นโดยการซักประวัติ ตรวจร่างกายเพื่อประเมินอาการ ตรวจผื่นผิวหนัง ความรุนแรงของอาการแพ้ และซักถามประวัติการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหาร ยา การถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย การสัมผัสกับน้ำยางหรือละอองเกสรพืช และปัจจัยอื่น ๆ  ที่อาจกระตุ้นให้เกิดลมพิษ ทั้งนี้ แพทย์อาจขอให้มีการตรวจเฉพาะทางเพิ่มเติมเพื่อหาสารก่อภูมิแพ้ต้นเหตุ ด้วยวิธีการดังนี้

  1. ทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) เป็นการทดสอบภูมิแพ้ โดยการหยดน้ำยาสารสกัดจากโปรตีนสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนัง และใช้เข็มสะกิดลงตรงกลางหยดน้ำยาเพื่อสังเกตอาการแพ้ โดยหากมีอาการแพ้ จะเกิดตุ่มบวมนูนขึ้นบนผิวหนัง การทดสอบสามารถทราบผลได้ภายใน 20 นาที โดยมีความเสี่ยงในการเกิดผื่นภูมิแพ้ทั่วร่างกายน้อยมาก
  2. ตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test) เป็นการเจาะเลือดตรวจวัดปริมาณภูมิต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ (IgE) ที่ร่างกายจะผลิตออกมาเพื่อต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้ในร่างกาย โดยหากผลการตรวจพบภูมิต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณมาก ก็จะยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของผื่นลมพิษ โดยการตรวจสามารถทราบผลได้ภายใน 2-3 วัน

การรักษาลมพิษ มีวิธีการอย่างไร - How are urticaria treated?

การรักษาลมพิษ มีวิธีการอย่างไร?

โดยปกติ ลมพิษสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโดยแพทย์เพื่อตรวจอาการและรับยาแก้แพ้เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดที่จะช่วยบรรเทาอาการคัน และช่วยให้ผื่นลมพิษยุบตัวลงได้เร็วขึ้น โดยแพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาดังต่อไปนี้

  • ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) ช่วยลดความรุนแรงของอาการคัน บวม แดง และลดอาการภูมิแพ้อื่น ๆ
  • วัคซีนภูมิแพ้ (Allergen immunotherapy) ในผู้ที่มีอาการลมพิษชนิดเรื้อรัง แพทย์จะพิจารณาการฉีดวัคซีนภูมิแพ้เพื่อยับยั้งการหลั่งของภูมิต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ (IgE) ที่มากเกินจำเป็น เพื่อบรรเทาอาการผื่นลมพิษ และลดอาการคัน
  • ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ในผู้ที่อาการไม่ดีขึ้น หรือลมพิษเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านฮีสตามิน แพทย์จะพิจารณาให้ยากลุ่มออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยให้ผื่นคันสงบลงเร็วขึ้น
  • ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory medications) สำหรับผู้ที่อาการลมพิษชนิดรุนแรง หรือแองจิโออีดีมา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids drug) ชนิดรับประทานเพื่อลดอาการบวม อักเสบ และคัน
  • ยากลุ่มชีวโมเลกุล (Biologics) ช่วยลดการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติแต่จะไม่กดภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยแพทย์จะใช้ยากลุ่มนี้เฉพาะผู้ที่มีอาการลมพิษเรื้อรังเท่านั้น
  • ยารักษาอาการบวมใต้ผิวหนังและเยื่อเมือกจากพันธุกรรม (Hereditary angioedema drugs) ในผู้ที่มีอาการแองจิโออีดีมา (Angioedema) หรืออาการบวมใต้ผิวหนังและเยื่อเมือกทางเดินหายใจส่วนบน และทางเดินทางอาหาร แพทย์จะพิจารณาให้ยาที่จำเพาะเจาะจงเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการ เนื่องจากยาแก้แพ้บางชนิด เช่น ยาต้านฮีสตามีน เอพิเนฟริน และสเตียรอยด์ ช่วยบรรเทาอาการได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การปฐมพยาบาลลมพิษเบื้องต้น มีวิธีการอย่างไร?

ลมพิษที่มีอาการเล็กน้อย สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้

  • ทานยาแก้แพ้ชนิดรับประทานที่สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ เช่น กลุ่มยาต้านฮีสตามีนชนิดที่ไม่ทำให้ง่วง (None-sedation antihistamines)
  • ยาทาภายนอก เช่น ยาสเตียรอยด์ชนิดทาภายนอก (Topical steroids)
  • การอาบน้ำเย็น หรือประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการคัน

ภาวะแทรกซ้อนของลมพิษ เป็นอย่างไร?

ภาวะแทรกซ้อนของลมพิษ ได้แก่อาการดังต่อไปนี้

  • ภาวะแองจิโออีดีมา (Angioedema) หรืออาการบวมของเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนังขั้นรุนแรงที่ทำให้มีอาการบวมที่ใบหน้า และอาจก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis) เป็นภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่ถูกกระตุ้นโดยการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้เหล็กในสัตว์มีพิษที่ทำให้หายใจติดขัด แน่นหน้าอก ชีพจรลดต่ำ หัวใจเต้นเร็วที่จำเป็นต้องรีบนำส่งแพทย์เพื่อฉีดยาแก้แพ้ อะดรีนาลีน (Adrenaline) หรือ อีพิเพ็น (EpiPen) โดยเร็วที่สุด

การป้องกันลมพิษ มีวิธีการอย่างไร?

  • สังเกตและหลีกเลี่ยง และออกห่างจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหาร ยา เกสรดอกไม้ ความร้อน ความเครียด หรือวัสดุบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้
  • สวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดแน่น ผ้าเนื้อหยาบที่ทำให้เกิดการเสียดสี หรือเนื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิร้อนหรือเย็น การอยู่ท่ามกลางแสงแดด ทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกกลางแดดจ้า
  • ไม่เกาบริเวณผื่นคันเพราะอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ และอาจกระตุ้นการกระจายตัวของผื่นคันมากยิ่งขึ้น
  • การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือ การตรวจภูมิแพ้ด้วยการเลือด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล

ลมพิษกลางคืน มีอาการอย่างไร?

ลมพิษกลางคืน คือ ลมพิษที่เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ใกล้กับช่วงเวลาเข้านอนตอนกลางคืน เช่น การสัมผัสกับยาบางชนิด เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายในห้อง นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานบ่งชี้ว่า มาสต์เซลล์ (Mast cells) ซึ่งเป็นเป็นเซลล์เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกิดการหลั่งสารต้านฮีสตามีนตามรอบวัน (Circadian rhythm) เป็นสาเหตุให้เกิดลมพิษที่มีอาการอักเสบ บวม คันในเวลากลางคืน

ลมพิษกี่วันหาย?

โดยปกติ ลมพิษชนิดเฉียบพลันมักหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน จนถึง 2-3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ลมพิษชนิดเรื้อรังที่มีอาการเกิน 6 สัปดาห์ อาจใช้เวลามากกว่า 1 ปี อาการลมพิษจึงจะหายไป

ลมพิษ อาการแพ้ ผื่นคัน รักษาได้ที่ต้นเหตุ

ลมพิษ เป็นผื่นคันที่กระทบต่อการใช้ชีวิต แม้ลมพิษชนิดเฉียบพลันอาจหายได้ด้วยยาต้านฮีสตามีน แต่การหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดลมพิษจะนำไปสู่การรักษาโรคให้หายขาด ลมพิษที่รักษาไม่หายจะพัฒนาไปสู่ลมพิษชนิดเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว ผู้ที่มีอาการแพ้ชนิดเฉียบพลันรุนแรง มีอาการแน่นหน้าอก หอบหืด หายใจติดขัด ควรรีบนำตัวส่ง รพ.เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันอาการช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นลมพิษไม่ว่าชนิดใด ควรเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ ปัจจัยกระตุ้น และรับการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เพื่อป้องกันการเป็นลมพิษซ้ำ

บทความโดย

เผยแพร่เมื่อ: 28 ก.ย. 2024

แชร์

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

  • Link to doctor
    นพ. สุทธิชัย โชคกิจชัย

    นพ. สุทธิชัย โชคกิจชัย

    • อายุรศาสตร์
    • อายุรศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน (ทางคลินิก)
    โรคภูมิแพ้, เวชศาสตร์ป้องกัน
  • Link to doctor
    พญ. วิลาวัณย์ เวทไว

    พญ. วิลาวัณย์ เวทไว

    • อายุรศาสตร์
    • อายุรศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน (ทางคลินิก)
    โรคหอบหืดและไอเรื้อรัง, โรคภูมิแพ้ในเด็กและผู้ใหญ่, แพ้อาหาร, โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังชนิดเอคซิม่า
  • Link to doctor
    นพ. ปรีดา สง่าเจริญกิจ

    นพ. ปรีดา สง่าเจริญกิจ

    • กุมารเวชศาสตร์
    • กุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
    Pediatrics Chronic Rhinorrhea, Pediatrics Snoring and Obstructive Sleep Apnea, Pediatrics Chronic Wheezing, Pediatrics Chronic Dermatitis, Pediatrics Chronic Urticaria, Pediatrics Suspected Food Allergies, Pediatrics Allergy Blood Testing and Skin Prick Testing
  • Link to doctor
    พญ. รพิศา นันทนีย์

    พญ. รพิศา นันทนีย์

    • กุมารเวชศาสตร์
    • กุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
    Pediatrics, Pediatrics Allergy and Immunology, Pediatrics Allergy Blood Testing and Skin Prick Testing, Pediatrics Chronic Dermatitis, Pediatrics Suspected Food Allergies
  • Link to doctor
    นพ. ปิยวุฒิ กรีฑาภิรมย์

    นพ. ปิยวุฒิ กรีฑาภิรมย์

    • กุมารเวชศาสตร์
    • กุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
    Pediatrics, Well Child Care and Vaccination, Pediatrics Allergy and Immunology, Pediatrics Allergy Blood Testing and Skin Prick Testing, Pediatrics Chronic Dermatitis, Pediatrics Suspected Food Allergies
  • Link to doctor
    MedPark Hospital Logo

    รศ.พญ. พรรณทิพา ฉัตรชาตรี

    • กุมารเวชศาสตร์
    • กุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
    Allergy Symptoms in Children, Prevention of Allergies in Children, Food Allergy of Newborn to 5 Years, Pediatrics Chronic Dermatitis, Pediatrics Chronic Urticaria, Pediatrics Allergy Blood Testing and Skin Prick Testing