ปลูกถ่ายไต ทางเลือกสู่ทางรอด ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
โรคไตระยะสุดท้าย แค่ชื่อก็ก่อให้เกิดความหวาดหวั่น สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เพราะเป็นที่รู้กันว่า เมื่อโรคดำเนินมาถึงระยะนี้ ผู้ป่วยมีทางเลือกไม่มาก และแทบทุกทางล้วนบั่นทอนคุณภาพชีวิตทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีการรักษา ที่ให้ผลดีที่สุด คืนคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ยากที่สุดเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ การผ่าตัดปลูกถ่ายไต

ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย กับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต
นพ.ธีรยุทธ เจียมจริยาภรณ์ อายุรแพทย์โรคไตและปลูกถ่ายไต (Transplant Nephrologist) ให้ข้อมูลว่า การผ่าตัดปลูกถ่ายไตนั้น เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 5 หรือไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยผู้ป่วยจะมีตัวเลือกการรักษาอยู่ 3 วิธี ได้แก่ ฟอกเลือด ล้างท้อง และผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งวิธีหลังสุดเป็นวิธีที่ยากซับซ้อนที่สุด แต่ก็มีประสิทธิภาพดีที่สุดเช่นกัน
“จากการศึกษา พบว่าการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดปลูกถ่ายไต ช่วยยืดอายุให้ผู้ป่วยโรคไตมากกว่าวิธีอื่น ทั้งยังช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว”
เมื่อถามว่าวิธีนี้มีข้อจำกัดอะไรบ้าง คุณหมอธีรยุทธให้ข้อมูลว่า วิธีการผ่าตัดปลูกถ่ายไต สามารถทำได้ หากผู้ป่วยไม่มีข้อห้ามดังต่อไปนี้
- เป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งที่ยังรักษาไม่ได้
- เป็นโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัสตับอักเสบที่ยังมีอาการอักเสบรุนแรง
- ข้อจำกัดทางสุขภาพต่าง ๆ
ข้อดีของการรักษาวิธีนี้คือการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องมาล้างไตทุก 2 วัน หรือสัปดาห์ละหลายครั้ง อาการต่าง ๆ จะดีขึ้นอย่างสังเกตได้

ความท้าทายของการปลูกถ่ายไตในประเทศไทย
“ความยากอันดับหนึ่งเลยคือการหาไตมาใส่ให้ผู้ป่วยครับ” คุณหมอตอบอย่างไม่ลังเลเมื่อถามถึงอุปสรรคในการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดปลูกถ่ายไต
โดยปกติแล้วอวัยวะบริจาคอย่าง ไต จะมาจาก 2 แหล่ง ได้แก่
- ผู้ที่มีชีวิต ซึ่งต้องเป็นญาติที่บริจาคให้กัน เป็นช่องทางที่ดีที่สุด
- ผู้เสียชีวิต หรือไตบริจาคจากส่วนกลาง (สภากาชาดไทย) ซึ่งต้องแจ้งความประสงค์ต่อคิวรับบริจาคจากผู้เสียชีวิตสมองตาย ช่องทางนี้ใช้เวลารอนาน
นอกจากนี้ การผ่าตัดปลูกถ่ายไตต้องใช้แพทย์เฉพาะทาง บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ ทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพ ทั้งอายุรแพทย์โรคไตและปลูกถ่ายไต ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ และอาจต้องปรึกษาร่วมกับแพทย์เฉพาะทางในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวในระบบอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง โรคทางเดินอาหาร และอื่น ๆ
“หากผู้ป่วยมีอายุเกิน 50 ปี ควรจะมีการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ร่วมด้วยครับ และควรมีแพทย์โรคติดเชื้อมาดูว่ามีการติดไวรัสซ่อนเร้นไหม รวมถึงการพิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตครับ”
หนึ่งในแพทย์ที่จะเข้ามามีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยโรคไตที่เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ก็คือ จิตแพทย์ ที่จำเป็นจะต้องเข้ามาประเมินสุขภาพจิต เมื่อความกังวล ความเครียดที่เกิดขึ้นมาจากการเจ็บป่วย สร้างผลกระทบต่อจิตใจทั้งผู้ป่วย และญาติผู้ป่วยเอง

การจับคู่อวัยวะรับบริจาคกับผู้ป่วย งานใหญ่ของหมอโรคไต
คุณหมอธีรยุทธอธิบายว่า ความสำคัญของการจับคู่ไตกับผู้ป่วยให้เข้ากันได้อย่างเหมาะสมนั้น จะช่วยส่งผลให้ไตที่ปลูกถ่ายเข้าไปนั้น ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ซึ่งการจับคู่จะมีขั้นตอนและกรรมวิธีที่ซับซ้อน
“วิธีการตรวจความเข้ากันได้ เราจะนำเลือดของผู้บริจาคไตกับผู้รับมาตรวจ โดยทำปฏิกิริยาในหลอดทดลอง ในปัจจุบัน จะมีการตรวจภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นมาด้วย ทำให้ผลการตรวจมีความจำเพาะละเอียดขึ้น และสามารถจับคู่เพื่อเลือกคนที่เข้ากันได้จริง ๆ และเมื่อนำไปปลูกถ่าย ก็จะอยู่ไปได้ยาวเลยครับ
“ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ที่เรียกว่าการฟอกน้ำเหลือง วิธีนี้ทำให้สามารถปลูกถ่ายไตในผู้ที่มีภูมิต้านกัน ซึ่งต้องอาศัยนักเทคนิคการแพทย์ในการดำเนินการ ส่วนอายุรแพทย์โรคไต จะเป็นผู้พิจารณาจากรายงานที่ได้จากห้องปฏิบัติการ และตัดสินใจว่าสามารถปลูกถ่ายไตให้ผู้ป่วยด้วยไตที่ได้รับบริจาคได้หรือไม่ครับ”
สำหรับข้อสงสัยที่ว่า ปลูกถ่ายไต อยู่ได้นานกี่ปี คำตอบก็คือ ประมาณ 10-20 ปี แล้วแต่สุขภาพและความเข้ากันได้ระหว่างไตบริจาคกับผู้รับไตบริจาคนั่นเอง

ข้อจำกัดด้านกฎหมาย การบริจาคและรับไต ที่ทุกคนควรรู้
สำหรับข้อกฎหมายในประเทศไทย ระบุชัดเจนว่า การบริจาคไตจากคนเป็น ต้องมาจากญาติโดยสายเลือด หรือผู้สืบสันดาน เช่น ลูกให้พ่อแม่ หลานให้ลุง โดยจะต้องตรวจเอกสารอย่างละเอียด หากเป็นสามี-ภรรยา จะต้องแต่งงานและจดทะเบียนสมรสมาแล้วเกิน 3 ปี
ในส่วนการบริจาคไตจากผู้เสียชีวิต สมองตาย จะได้รับการจัดสรรผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งจะเป็นไปตามลำดับ และความเข้ากันได้ของไตบริจาค และผู้รับ
ดังนั้น จึงมีข้อห้ามในการผ่าตัดปลูกถ่ายไตโดยใช้ไตที่อยู่นอกเหนือกฎหมายกำหนด การผ่าตัดปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคที่มีชีวิต จะไม่สามารถรับไตจากใครก็ได้ ต้องตรงตามเงื่อนไขเท่านั้น
ทิศทางของโรงพยาบาลเมดพาร์ค ในการรักษาผู้ป่วยโรคไตด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต
โรงพยาบาลเมดพาร์คในปัจจุบัน มีทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถให้บริการการผ่าตัดปลูกถ่ายไตได้ และมีประสบการณ์การผ่าตัดปลูกถ่ายไตจากญาติในผู้ป่วยแล้วรวม 5 ราย ซึ่งถึงเกณฑ์การรับพิจารณาเข้าเป็นสมาชิกสามัญของสภากาชาดไทยเพื่อรับอวัยวะบริจาคจากส่วนกลาง
“ในตอนนี้เมดพาร์คมีสถานะเป็นสมาชิกสมทบครับ ซึ่งผ่านการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจากคนเป็น หรือญาติให้ญาติครบตามเกณฑ์แล้ว ต่อไปก็คาดหวังว่าในอนาคต เมื่อได้รับการเลื่อนสถานะเป็นสมาชิกสามัญของสภากาชาดไทย ก็จะสามารถรับไตบริจาคมาผ่าตัดปลูกถ่ายไต ช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากขึ้นกว่าเดิมครับ”

สำหรับทิศทางการรักษาผู้ป่วยโรคไตในอนาคต สิ่งที่คุณหมอธีรยุทธเล็งเห็นก็คือการสร้างความเข้าใจและการให้ความมั่นใจในการบริจาคไตระหว่างญาติด้วยกันเอง เพราะเป็นวิธีที่ดีที่สุด สะดวกที่สุด และมีโอกาสความเข้ากันได้ของไตผู้ให้กับร่างกายผู้รับสูง อีกทั้งในปัจจุบัน การผ่าตัดก้าวหน้ามาก มีการใช้หุ่นยนต์ผู้ช่วย ซึ่งแทบไม่มีผลข้างเคียง
“ที่สำคัญคือการเพิ่มคนบริจาค ซึ่งในต่างประเทศ ฝั่งยุโรป เช่น ประเทศสเปน หากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วผู้ประสบเหตุเสียชีวิต สมองตาย รัฐบาลสามารถนำอวัยวะออกไปใช้ได้เลย ซึ่งคำยินยอมบริจาคอวัยวะ จะเกิดขึ้นตั้งแต่การทำใบขับขี่ จึงถูกกฎหมายแน่นอนครับ ประเทศเราตอนนี้ก็เริ่มหันมาสร้างความเข้าใจและความรู้เรื่องการบริจาคร่างกาย บริจาคอวัยวะกันมากขึ้น หนึ่งร่างช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยได้หลายคน ทั้งยังได้รับพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งช่วยจูงใจและลดความกังวลหรือค่านิยมเกี่ยวกับการบริจาคร่างกายแล้วกลัวว่าในชาติต่อไป ร่างกายจะไม่สมบูรณ์ครับ”
นอกจากนี้ คุณหมอยังเล่าให้ฟังว่า ได้มีตัดต่อพันธุกรรมหมู เพื่อให้โตและนำไตจากหมูมาใช้ปลูกถ่ายแทนไตมนุษย์ ซึ่งทำสำเร็จไปแล้วอย่างน้อย 3 รายในประเทศสหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นทิศทางที่ดีในการรักษาผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย หากในอนาคตมีจำนวนผู้ที่ต้องการไตบริจาคมากขึ้น แต่จำนวนไตบริจาคมีน้อยและไม่เพียงพอ ซึ่งในขณะนี้ยังเป็นช่วงการศึกษาทดลองการรักษาระยะต้น

การรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ดีที่สุด คือการป้องกันตั้งแต่ยังไม่ป่วย
“ความน่ากลัวของโรคไต คือ อาการแสดงที่แทบไม่มีในระยะต้น และเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติ โรคก็ดำเนินมาจนระยะท้าย ๆ แล้ว การตรวจคัดกรองให้เร็วที่สุด และการปรับวิถีชีวิตเพื่อป้องกันโรค จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะรับมือกับโรคไตครับ”
หากยังไม่ป่วย และไม่อยากเป็นโรคไต สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพ โดยสิ่งที่คุณหมอแนะนำ ได้แก่
- ควบคุมความดันตัวบนให้ต่ำกว่า 130 มิลลิเมตรปรอท
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยโรคเบาหวาน
- ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ
หากเราไม่ประมาทและไม่ปล่อยให้สุขภาพโดยรวมย่ำแย่ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่จะบั่นทอนคุณภาพชีวิต และลงเอยที่การเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล สูญเสียทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลได้