ศูนย์ภูมิแพ้ (Allergy Center)
ศูนย์ภูมิแพ้ โรงพยาบาลเมดพาร์ค ให้บริการผู้ป่วยครอบคลุมโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันอย่างครบวงจร และทุกช่วงอายุวัย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันที่มีประสบการณ์สูง และผ่านการฝึกอบรมจากต่างประเทศ พร้อมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย การบริการอบอุ่นและเป็นกันเอง
ที่เมดพาร์ค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเน้นการแก้ปัญหาผู้ป่วยภูมิแพ้เรื้อรัง และผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก โดยทีมแพทย์จะใช้แนวทางการรักษาจากภายใน โดยการค้นหาให้ถึงรากของปัญหาเพื่อแก้ไขให้ตรงจุด เพราะคนไข้แต่ละรายมีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ทั้งพื้นฐานครอบครัว และต้นทุนของแต่ละคนที่เติบโตมา ซึ่งล้วนส่งผลต่อภูมิคุ้นกัน และการเกิดภูมิแพ้ โดยแพทย์จะใช้เวลาในการให้คำปรึกษา การซักถามประวัติครอบครัวอย่างรอบด้าน และการตรวจวินิฉัยร่างกาย ก่อนนำไปวางแผนการรักษาทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว เนื่องจากโรคภูมิแพ้ เพราะเป็นโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่อง และเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันทั้งหมด
นอกจากนี้ เมดพาร์คยังใช้เทคนิคการตรวจวินิจฉัยที่หลากหลายและทันสมัย เช่น การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Test) โดยใช้วิธีหยดน้ำยาลงบนผิวหนังแล้วสกิด ซึ่งทำให้ไม่เจ็บ และไม่น่ากลัวเหมือนการฉีด การเจาะเลือด การตรวจสอบสมรรถภาพของปอดด้วยการเป่าปอด และการตรวจด้วยแล็บทันสมัย ซึ่งจะทำให้แพทย์ทราบข้อมูลเกี่ยวกับพื้นฐานของคนไข้ และสามารถวางแผนการรักษาไปได้ถึง 5 ปี
สำหรับกรณีเด็กแพ้อาหาร ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้จะทำงานร่วมกับกุมารแพทย์ และแพทย์ทางเดินอาหาร เพื่อทำการวิเคราะห์โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการแพ้อาหาร เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี อาหารทะเล หรือสารระคายเคือง โดยแพทย์จะเน้นการรักษาด้ายวิธีซ่อมร่ายการจากภายใน เพื่อทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายได้ มากกว่าวิธีการให้ยา
ปัจจุบัน แม้ว่ายารักษาภูมิแพ้ในปัจจุบัน ทั้งแบบกินและยาพ่นจมูก จะได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้ติดต่อกันได้อย่างปลอดภัยแม้แต่ในเด็ก ๆ กระนั้นก็ตาม แพทย์จะไม่เน้นการให้ยาเป็นหลัก แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะอาหารการกิน และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อลดสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้น้อยลง ส่วนการฉีดวัคซีน จะเริ่มในเด็กโต วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ซึ่งจะแนะนำให้ฉีดเฉพาะในรายที่มีความจำเป็น ทั้งนี้ แนวทางการรักษาที่เมดพาร์ค จะมุ่งเน้นการปรับทัศนคติและหาวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยไม่ต้องพึ่งยาอย่างต่อเนื่อง