โรคหัวใจ (Heart Disease)
โรคหัวใจอาจจะรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับอาการของคุณ เพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นี่คือสิ่งสำคัญหากคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเป็นโรคหัวใจ
หัวใจเริ่มเต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา กล้ามเนื้อหัวใจมีลักษณะพิเศษกว่ากล้ามเนื้ออื่น ๆ คือ สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้เอง ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มต้นจากหัวใจห้องขวาบน (Sinus Node) กระจายออกไปตามเซลล์นำไฟฟ้า ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในหัวใจ เริ่มจากห้องบนขวาไปห้องบนซ้ายและลงหัวใจห้องล่าง เมื่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระแสไฟฟ้านี้ก็จะเกิดการหดตัวขึ้น ทำให้เกิดการบีบตัวของห้องหัวใจ
สภาวะต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อหัวใจ
- โรคหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ
- ปัญหาจังหวะการเต้นของหัวใจ (ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ)
- ข้อบกพร่องของหัวใจแต่กำเนิด (ข้อบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิด)
- โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
- โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ
- การติดเชื้อที่หัวใจ
- โรคของผนังหุ้มหัวใจ
โรคหัวใจมีอาการอย่างไร
อาการของโรคหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ
1. อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- เจ็บแน่นหน้าอก มักมีอาการแน่น อึดอัด เหมือนมีสิ่งกดทับกลางอก อาจมีอาการปวดร้าวไปคาง ไหล่ หรือแขนซ้าย มักเป็นมากขึ้นเมื่อออกกำลังและหากมีอาการรุนแรงอาจมีอาการเมื่ออยู่เฉย ๆ
- เหนื่อยง่ายหายใจถี่
- นอนราบไม่ได้
- บวม
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืดหมดสติ
2. อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Heart Arrhythmias)
หัวใจของคุณอาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือไม่สม่ำเสมอ อาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจรวมถึง:- หัวใจเต้นสะดุด หรือเต้นเร็วๆ รัวๆ (Heart Palpitations)
- เจ็บหน้าอกหรือรู้สึกไม่สบาย (Chest pain or discomfort)
- หายใจถี่ (Shortness of breath), เหนื่อยง่าย (Dyspnea on exertion)
- วิงเวียนศีรษะ (Lightheadedness)
- เวียนหัว (Dizziness)
- เป็นลมหมดสติ (Syncope)
3. อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากหัวใจพิการแต่กำเนิด (Heart Defects)
ความบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิด มักจะสังเกตเห็นได้หลังจากคลอดไม่นาน โดยมักมีสัญญาณและอาการผิดปกติของหัวใจในเด็กอาจรวมถึง:- สีผิวซีดเทา เขียว
- อาการบวมที่ขา หน้าท้อง หรือบริเวณรอบดวงตา
- ในทารกมักมีอาการหายใจถี่ระหว่างการให้น้ำนมทำ ให้น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น
- นิ้วปุ้ม (Clubbing of finger)
ความบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิดที่รุนแรงน้อยกว่ามักไม่ได้รับการวินิจฉัยจนกว่าจะถึงในวัยเด็กหรือในวัยผู้ใหญ่ สัญญาณและอาการของความบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิดมักไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตในทันที ได้แก่:
- หายใจไม่ออกระหว่างออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
- เหนื่อยง่ายระหว่างออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม
- อาการบวมที่มือ ข้อ หรือเท้า
- ปากและเล็บเขียวคล้ำ
4. อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiomyopathy)
ในระยะแรกของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ อาจไม่แสดงอาการ แต่เมื่ออาการแย่ลง สามารถสังเกตได้จาก:หายใจไม่ออกขณะทำกิจกรรมหรือพักผ่อน
- อาการบวมที่ขา ข้อ และเท้า
- อาการเหนื่อยล้า เหนื่อยง่าย หายใจถี่
- นอนราบไม่ได
- การเต้นของหัวใจผิดปกติ
- เวียนศีรษะ มึนงง และเป็นลม
5. อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากการติดเชื้อ (Heart Infection)
เยื่อบุหัวใจอักเสบ คือการติดเชื้อที่มีผลต่อเยื่อบุด้านในของห้องหัวใจและลิ้นหัวใจ (Endocardium) สัญญาณและอาการของการติดเชื้อที่หัวใจอาจรวมถึง:- มีไข้หายใจถี่
- อ่อนแอ เหนื่อยล้า
- มีอาการบวมที่ขาหรือหน้าท้อง
- การเต้นของหัวใจผิดปกติ
- อาการไอแห้ง
- มีผื่นขึ้นหรือมีจุดที่ผิวหนัง เล็บ ขึ้นผิดปกติ
6. อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว (Valvular Heart Disease)
ลิ้นหัวใจทำหน้าที่เปิดและปิดเพื่อให้เลือดไหลผ่านหัวใจโดยตรง ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำลายลิ้นหัวใจได้ โดยอาการแสดงของโรคลิ้นหัวใจตีบและรั่วอาจรวมถึง:- อาการเหนื่อยล้า
- หายใจถี่ เหนื่อยง่าย
- การเต้นของหัวใจผิดปกติ
- เท้าหรือข้อเท้าบวเจ็บหน้าอก
- เป็นลมหมดสติ

ควรพบแพทย์เมื่อใด
ควรไปพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้:- เจ็บหน้าอก
- หายใจถี่ เหนื่อยง่าย
- เป็นลม
สาเหตุของโรคหัวใจ
สาเหตุของโรคหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจนั้น ๆ สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจจากภาวะการเสื่อมของหลอดเลือด en มีสาเหตุไม่ชัดเจนแต่พบว่าสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยปัจจัยเสี่ยงแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
- ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้และสามารถปรับเปลี่ยนได้
- ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เช่น อายุ เพศ หรือประวัติสุขภาพของคนในครอบครัวได้ แต่สามารถชะลอโรคด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่กำหนดเองได้ก็จะป้องกันปัญหาโรคหัวใจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
- อายุ – การมีอายุมากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดแดงที่เสียหาย ตีบและกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
- เพศ – ผู้ชายทั่วไปมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่า แต่สำหรับผู้หญิงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังหมดประจำเดือน
- ปัจจัยทางพันธุกรรม – ครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหัวใจจะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพ่อแม่เป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย (ก่อนอายุ 55 ปีสำหรับผู้ชาย และ 65 สำหรับผู้หญิง)
- สูบบุหรี่ – สารนิโคตินทำให้หลอดเลือดของคุณมีสภาวะหดตัว และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สามารถทำลายเยื่อบุชั้นในได้ จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ง่ายขึ้น โดยอาการหัวใจวายพบได้บ่อยในผู้สูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- การกินอาหารแบบผิด ๆ – อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เกลือ น้ำตาล และคอเลสเตอรอลสูง สามารถทำให้เกิดโรคหัวใจได้
- ความดันโลหิตสูง – ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาจส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวและหนาขึ้นทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง
- ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง – ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงโดยเฉพาะชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL-cholesterol) สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคเบาหวาน – โรคเบาหวานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
- โรคอ้วน น้ำหนักส่วนเกินมักทำให้เกิดจจัยเสี่ยงโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น
- การขาดการออกกำลังกาย – การขาดการออกกำลังกายมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ความเครียด – ความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงทางด้านจิตใจ อาจส่งผลไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่กระตุ้นหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการของโรคหัวใจมากขึ้น
- สุขภาพฟันที่ไม่ดี – พบรายงานแพทย์ถึงโรคฟันและเหงือกอักเสบสัมพันธ์กับการเกิดอาการของโรคหัวใจมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจ
-
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลว คือภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดของโรคหัวใจ เกิดขึ้นเมื่อหัวใจของคุณไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ภาวะหัวใจล้มเหลวอาจเป็นผลมาจากโรคหัวใจหลายประเภท รวมถึงความบกพร่องของหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง โรคลิ้นหัวใจ การติดเชื้อที่หัวใจ -
หัวใจวาย
หากเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันกระทันหัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย ไฟฟ้าหัวใจอาจผิดปกติจนเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรงจนหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest) -
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง คือปัจจัยเสี่ยงสามารถนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองของคุณแคบลงหรือถูกปิดกั้นทำให้เลือดเข้าสู่สมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้สมองขาดเลือด -
หลอดเลือดแดงโป่งพอง
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกายโดยหากหลอดเลือดโป่งพองแตก จะทำให้เกิดภาวะเลือดออกภายในอย่างมากและรวดเร็ว เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ -
โรคหลอดเลือดส่วนปลาย
หากเป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลาย สิ่งนี้ทำให้เกิดอาการปวดแขนหรือขาเมื่อออกแรง เหตุเพราะเลือดไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอ (Claudication) และหากอุดตัน จะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อส่วนปลาย เช่น เท้า ได้ -
ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
ภาวะนี้คือการสูญเสียการทำงานของหัวใจ หายใจและหมดสติอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิด ซึ่งมักเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรง ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหันเป็นภาวะฉุกเฉิน หากไม่ได้รับการรักษาทันทีจะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจตายอย่างกะทันหัน
การป้องกัน
วิธีการป้องกันโรคหัวใจนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจแม้ไม่มีสาเหตุเฉพาะเจาะจงชัดเจน แต่ก็มีปัจจัยสิ่งหลายอย่างที่หากเราควบคุมได้ดีจะช่วยลดโอกาสโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้มาก เช่น
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินมาตรฐาน ควบคุมคอเลสเตอรอล และเบาหวาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- รับประทานอาหารที่มีเกลือและไขมันอิ่มตัวต่ำ
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน
- ลดความเครียด
- ฝึกสุขอนามัยที่ดี

การวินิจฉัยโรคหัวใจ
แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและสอบถามประวัติของคนไข้และครอบครัว โดยการวินิจฉัยโรคหัวใจขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ นอกจากการสอบถามประวัติโดยละเอียด การตรวจร่างกายการตรวจเลือด และเอกซเรย์ทรวงอกแล้ว การทดสอบพิเศษทางหัวใจต่างๆจะช่วยในการวินิจฉัย เช่น
-
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจทดสอบที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด -
เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง หรือ Ambulatory ECG Monitoring หรือ Holter ECG
การติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นอุปกรณ์ ECG แบบพกพาที่สามารถใส่เพื่อบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องโดยปกติจะใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง การตรวจสอบ โดยใช้เพื่อตรวจจับปัญหาจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่พบในระหว่างการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ -
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Echocardiogram
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเป็นการทดสอบแบบใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ เพื่อสร้างภาพและตรวจวัดโครงสร้างหัวใจโดยละเอียด ขนาดของหัวใจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจลิ้นหัวใจผนังกั้นและผนังหุ้มหัวใจ -
Stress Test
การวินิจฉัยโรคหัวใจด้วยวิธี Stress Test เป็นการทดสอบการเพิ่มอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจด้วยการออกกำลังกาย หรือยา และวัดการตอบสนองทั้งชีพจรความดันโลหิตความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจและบางรายวัดความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจโดยการตรวจ Echocardiogram (Stress Echocardiogram) ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางครั้งประเมินสมรรถภาพภาวะผนังหัวใจและหลอดเลือด -
การสวนหัวใจ
การสวนหัวใจเป็นการใส่ท่อสั้น ๆ เข้าไปในหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงบริเวณขาหรือแขน เพื่อตรวจวัดภายในหัวใจโดยตรงหรือการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจโรคลิ้นหัวใจหรือผนังกั้นหัวใจผิดปกติโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด -
การสแกนเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ หรือ CT SCAN
การทำ CT Scan เป็นการทดสอบแบบใช้การเอ็กซเรย์เพื่อสร้างภาพโครงสร้างโดยละเอียด เพื่อวัดคะแนนหินปูนของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Score) และหากฉีดสารทึบรังสีด้วย จะได้ภาพของหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดแดงใหญ่ หลอดเลือดปอด เพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ผนังหัวใจ
วิธีรักษาโรคหัวใจ
ประเภทของการรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ โดยทั่วไปมักประกอบด้วย:
-
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
วิธีรักษาโรคหัวใจด้วยวิธีนี้เป็นวิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ด้วยการรับประทานอาหารสุขภาพ เช่น ลดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เกลือโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวสูง คอเลสเตอรอลสูง รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวแทน เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้หลากหลายชนิด ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -
ยา
หากการปรับเปลี่ยงวิถีชีวิตเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อควบคุมโรคหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ
นอกจากวิธีการรักษาโรคหัวใจข้างต้นที่เน้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการใช้ยาในการรักษาแล้วยังมีวิธีรักษาอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการรับประทานยาดังนี้
-
การรักษาด้วยหัตถการหลอดเลือดหรือการผ่าตัด
- การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด
- การขยายลิ้นหัวใจที่ตีบด้วยบอลลูน
- การใส่ลิ้นหัวใจเทียมแทนลิ้นหัวใจที่ตีบจากการเสื่อมสภาพ โดยการสอดใส่ผ่านทางหลอดเลือด
- การปิดกั้นผนังกั้นหัวใจที่รั่วด้วยอุปกรณ์พิเศษผ่านทางหลอดเลือด
- การจี้หัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงโดยการใส่สายผ่านทางหลอดเลือด
- การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร
- การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ
- การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจโดยใช้หลอดเลือดของผู้ป่วยเอง (Coronary artery bypass graft surgery)
- การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม
-
การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด
ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สามารถกลับมาแข็งแรงใช้ชีวิตประจำวันได้ และหากเป็นไปได้ให้สามารถออกกำลังกายได้มากขึ้น วิธีรักษาโรคหัวใจด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัดช่วยในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงลดอาการโรคหัวใจได้ดีขึ้น โดยในช่วงแรกอาจอยู่ภายใต้การดูแลใกล้ชิดของแพทย์และนักกายภาพบำบัด และค่อย ๆ ปรับเพิ่มโปรแกรมที่สามารถทำได้เองมากขึ้นจนสามารถปฏิบัติเองได้ที่บ้านทั้งหมด
เรียบเรียงโดย
นพ.ไพศาล บุญศิริคำชัย
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจและหลอดเลือด
เฉพาะทางด้านการตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ
ประวัติแพทย์