ไอเรื้อรัง (Chronic Cough)
ไอเรื้อรัง คืออาการไอต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยในผู้ใหญ่หมายถึงการไอนานกว่า 2 เดือน ส่วนในเด็กจะนับเมื่อลักษณะการไอยาวเกิน 1 เดือน อาการไอเรื้อรังไม่เพียงน่ารำคาญ แต่ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งรบกวนการนอน ทำให้รู้สึกไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอน และในบางรายที่ไออย่างรุนแรง อาจถึงขั้นวิงเวียน คลื่นไส้ หรือกระดูกซี่โครงหักได้
ในบางกรณี การวินิจฉัยหาสาเหตุที่กระตุ้นการไอเรื้อรังอาจทำได้ยาก แต่สาเหตุของอาการไอเรื้อรังที่พบได้บ่อย ได้แก่ การสูบบุหรี่ ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน หรือมีเสมหะในลำคอมากเกินไป เมื่อระบุและรักษาต้นเหตุของอาการได้แล้ว อาการมักดีขึ้นและหายไปในที่สุด
ไอเรื้อรัง มีอาการอย่างไร? รู้จักสัญญาณที่ควรสังเกต
ไอเรื้อรัง เป็นอาการที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง หากคุณมี อาการไอเรื้อรัง ต่อเนื่องนานเกิน 8 สัปดาห์ ควรสังเกตอาการร่วมดังต่อไปนี้:
- มีน้ำมูก คัดจมูก หรือมีเสมหะเรื้อรัง
- รู้สึกคันคอ เจ็บคอเป็นประจำ
- เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยน
- หายใจมีเสียงหวีด หรือมีอาการหายใจไม่ทัน
- ปากมีรสเปรี้ยว หรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอก (อาจสัมพันธ์กับกรดไหลย้อน)
- ไอเป็นเลือด (พบได้น้อย แต่ต้องรีบพบแพทย์)
การตรวจสอบอาการไอเรื้อรัง อย่างละเอียดจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง อย่าละเลยอาการเหล่านี้ หากมีสัญญาณผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
ควรพบแพทย์เมื่อไอเรื้อรังหรือไอต่อเนื่อง
ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ ไอติดต่อกันนานหลายสัปดาห์ ร่วมกับอาการอื่น เช่น มีน้ำมูก เสมหะ ไอมีเลือดปน หรืออาการไอรบกวนการนอน การเรียน หรือการทำงานในชีวิตประจำวัน
โดยทั่วไป การไอเป็นครั้งคราว เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกาย เพื่อกำจัดสิ่งระคายเคืองหรือมูกเสมหะออกจากปอด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แต่หากมี อาการไออย่างต่อเนื่อง หรือ ไอเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของโรคพื้นฐานบางอย่าง เช่น ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน โรคหืด หรือการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
สาเหตุของ ไอเรื้อรัง: ปัจจัยที่ทำให้ไอต่อเนื่อง
ไอเรื้อรัง อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งรวมถึง:
- โรคจมูกและไซนัส: เมื่อร่างกายผลิตน้ำมูกมากเกินไปจนไหลลงคอ ทำให้เกิดอาการไอ
- โรคหอบหืด: ไอจากหอบหืดมักเกิดเป็นระยะ ๆ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศหรือการสัมผัสมลพิษ สิ่งระคายเคือง หรืออากาศเย็น
- โรคภูมิแพ้: อาการไอจะรุนแรงขึ้นเมื่อมีการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศเย็น หรือมลพิษ
- กรดไหลย้อน: การไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารขึ้นสู่หลอดลมทำให้ระคายเคืองและเป็นสาเหตุของ ไอเรื้อรัง
- โรคติดเชื้อ: หลังจากเป็นไข้หวัดหรือโรคปอดติดเชื้อ อาการไออาจยังคงอยู่แม้จะรักษาหายแล้ว
- โรคไอกรน: อาการไอจากโรคไอกรนมักถูกมองข้าม แต่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่
- โรคปอดติดเชื้อ: โรคต่าง ๆ เช่น วัณโรค หรือเชื้อราในปอดก็อาจทำให้เกิด ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะในกรณีของ Long COVID
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD): เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งมักมีอาการไอและเสมหะ หรือหายใจไม่สะดวก
- ยาลดความดันโลหิต: การใช้ยากลุ่ม ACE inhibitors เช่นสำหรับรักษาความดันโลหิตสูง อาจเป็นสาเหตุของอาการ ไอเรื้อรัง
โรคอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคไอเรื้อรัง แต่มักพบได้น้อย ได้แก่
- การสำลักอาหารในผู้ใหญ่หรือสิ่งแปลกปลอมในเด็ก
- หลอดลมโป่งพอง
- หลอดลมฝอยอักเสบ
- โรคซิสติกไฟโบรซิส
- โรคพังผืดที่ปอด
- โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง
- มะเร็งปอด
- หลอดลมอักเสบชนิดที่มีค่าอีโอซิโนฟิลสูง
- โรคซาร์คอย
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิด ไอเรื้อรัง
การสูบบุหรี่ และการสูดควันบุหรี่มือสองเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของ ไอเรื้อรัง การสัมผัสกับควันบุหรี่อย่างต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจ และเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคปอดหรือการทำลายปอด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการไอต่อเนื่อง
ภาวะแทรกซ้อนจากไอเรื้อรัง
อาการ ไอเรื้อรัง อาจทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อน และอาการอื่น ๆ ตามมาดังนี้:
- ปวดศีรษะ
การไอเรื้อรังอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หรือไมเกรนจากความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างการไอ - วิงเวียน หรือ อาเจียน
การไอที่รุนแรงอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรืออาเจียนตามมา - นอนหลับไม่สนิท
การไอเรื้อรังอาจรบกวนการนอนหลับ ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่เต็มที่ - หน้ามืด หรือ เป็นลม
การไออย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดหรือเป็นลมได้ - กระดูกซี่โครงหักจากการไอรุนแรง
การไอที่ต่อเนื่องและรุนแรงอาจทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ - กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การไอเรื้อรังอาจทำให้เกิดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยเฉพาะในผู้หญิง - เหงื่อออกมากหรือเหงื่อออกผิดปกติ
การไอเรื้อรังอาจทำให้เหงื่อออกมากผิดปกติ หรือมีอาการเหงื่อออกในช่วงที่ไอ
การไอที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหลายด้าน ดังนั้นควรได้รับการรักษาโดยเร็วเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
วิธีการตรวจวินิจฉัย ไอเรื้อรัง
การวินิจฉัย ไอเรื้อรัง เริ่มต้นด้วยการ ตรวจประวัติและการตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุของอาการไอและให้การรักษาเบื้องต้น หากอาการไม่ดีขึ้นหลังการรักษาเบื้องต้น แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
- การเอกซเรย์
- เอกซเรย์ปอด: ใช้เพื่อวินิจฉัยโรคปอดติดเชื้อ มะเร็งปอด หรือโรคปอดอื่น ๆ แต่ไม่สามารถใช้วินิจฉัย โรคหอบหืด กรดไหลย้อน หรือเสมหะ
- เอกซเรย์ไซนัส: ใช้ในการวินิจฉัย โรคไซนัสอักเสบ
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
ใช้ในการวินิจฉัย ไอเรื้อรัง และ ไซนัสอักเสบ - การตรวจสมรรถภาพปอด
- การตรวจสมรรถภาพปอด เช่น การตรวจด้วยเครื่อง สไปโรมิเตอร์ เพื่อประเมินการทำงานของปอดและวินิจฉัย โรคหอบหืด หรือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- การทดสอบการทำงานของปอดก่อนและหลังการใช้ยา เมธาโคลีน (Methacholine) เพื่อวินิจฉัยโรคหอบหืด
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
หากเสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว แพทย์อาจทำการ ตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย เพื่อหาสาเหตุที่เป็นไปได้ - การส่องกล้อง
- การส่องกล้องหลอดลม: ใช้ในการตรวจปอดและทางเดินหายใจผ่านกล้องส่องหลอดลม และสามารถตัดชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัย
- การส่องกล้องโพรงจมูก: ใช้ในการตรวจโพรงจมูก ไซนัส และทางเดินหายใจส่วนต้นผ่านกล้องไฟเบอร์ออปติก
- การตรวจสำหรับผู้ป่วยเด็ก
สำหรับเด็ก แพทย์จะใช้ เอกซเรย์ปอด และ เครื่องสไปโรมิเตอร์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรค ไอเรื้อรัง ในเด็ก
วิธีรักษา ไอเรื้อรัง อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษา ไอเรื้อรัง ต้องเริ่มต้นจากการหาสาเหตุที่แท้จริง เนื่องจากอาการไอเรื้อรังอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคประจำตัวหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่
การรักษาตามสาเหตุของ ไอเรื้อรัง
- เลิกบุหรี่: หากผู้ป่วยมีพฤติกรรมสูบบุหรี่ แพทย์อาจแนะนำโปรแกรมช่วยเลิกบุหรี่เพื่อบรรเทาอาการไอ
- การปรับเปลี่ยนยา: สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยา ACEI ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไอ แพทย์จะพิจารณาการเปลี่ยนยา
- การรักษาด้วยยา:
- ยาแก้แพ้ และ ยาแก้คัดจมูก: ใช้บรรเทาอาการภูมิแพ้และเสมหะ
- ยาหอบหืด: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไอจากโรคหอบหืด เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และ ยาพ่นขยายหลอดลม
- ยาปฏิชีวนะ: สำหรับการรักษาอาการไอที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือวัณโรค
- การรักษากรดไหลย้อน: หากอาการไอเกิดจากกรดไหลย้อน แพทย์อาจสั่งยาที่ช่วยยับยั้งการหลั่งกรด และในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัด
- การรักษาเฉพาะทาง: หากอาการไอมีสาเหตุมาจากโรคเฉพาะ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบทางเดินหายใจ
ยาบรรเทาอาการไอ
ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาบรรเทาอาการไอขณะทำการวินิจฉัยและเริ่มการรักษา
- ยาจากร้านขายยา: สามารถช่วยบรรเทาอาการไอและไข้หวัด แต่ไม่สามารถรักษาโรคอื่น ๆ ได้ โดยจากการวิจัยพบว่า ยาบรรเทาอาการไอ และ ยาหวัด ไม่แตกต่างจาก ยาหลอก และอาจมีผลข้างเคียงรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
- คำแนะนำสำหรับเด็ก: ไม่ควรให้ยาอื่น ๆ นอกจาก ยาลดไข้ และ ยาแก้ปวด ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี และควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนใช้ยาในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
ดูแลตัวเองที่บ้านเมื่อมี อาการไอเรื้อรัง มีเสมหะและคันคอ
การดูแลตัวเองที่บ้านเป็นวิธีหนึ่งในการบรรเทาอาการ ไอเรื้อรัง ที่มีเสมหะและคันคอ โดยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดอาการและเสริมสร้างการฟื้นฟู
วิธีการดูแลตัวเองที่บ้าน
- ดื่มน้ำอุ่น: ชา, น้ำผลไม้, หรือ น้ำซุปใส ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและกำจัดเสมหะ
- รับประทานยาอมแก้เจ็บคอ: ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและไอแห้ง
- รับประทานน้ำผึ้ง: น้ำผึ้งช่วยบรรเทาอาการไอ แต่ไม่ควรให้ เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เพราะมีแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย
- ใช้เครื่องเพิ่มความชื้น: ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง หรือ อาบน้ำร้อน และสูดไอน้ำเพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น
- งดสูบบุหรี่: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือสูด ควันบุหรี่มือสอง เนื่องจากจะทำให้ปอดระคายเคืองและอาการไอแย่ลง
หากสูบบุหรี่ ควร ปรึกษาแพทย์ ถึงแนวทางที่เหมาะสมในการเลิกสูบบุหรี่
คำแนะนำเพิ่มเติม
การดูแลตัวเองที่บ้านสามารถช่วยบรรเทาอาการ ไอเรื้อรัง ได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์สำหรับอาการ ไอเรื้อรัง
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอาการ ไอเรื้อรัง ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการพบแพทย์ โดยบันทึกข้อมูลที่สำคัญดังนี้:
สิ่งที่ควรบันทึกก่อนพบแพทย์
- อาการป่วยโดยละเอียด: รวมถึงระยะเวลาและความรุนแรงของอาการ
- ประวัติอาการป่วยของผู้ป่วยเอง: เช่น โรคประจำตัวที่อาจเกี่ยวข้องกับการไอเรื้อรัง
- ประวัติอาการป่วยของครอบครัว: เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอด ชื่อยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รับประทานอยู่
- นิสัยการสูบบุหรี่: หากสูบบุหรี่หรือเคยสูบมาก่อน
- คำถามอื่น ๆ ที่ต้องการถามแพทย์: เช่น แนวทางการรักษาหรือคำแนะนำเพิ่มเติม
คำถามที่แพทย์อาจถามผู้ป่วย
- อาการของคุณคืออะไร และเริ่มมีอาการเมื่อไร?
- คุณเป็นหวัด มีไข้ หรือติดโควิด-19 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่?
- คุณสูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่หรือไม่?
- คุณเคยสูดควันบุหรี่มือสองที่บ้านหรือที่ทำงานหรือไม่?
- ที่บ้านหรือที่ทำงานมีฝุ่นหรือใช้สารเคมีหรือไม่?
- คุณมีอาการแสบร้อนหน้าอกหรือไม่?
- คุณไอเป็นเลือด หรือมีเสมหะหรือไม่? สีของเสมหะเป็นสีอะไร?
- คุณรับประทานยารักษาโรคความดันโลหิตหรือไม่?
- คุณเริ่มมีอาการไอเมื่อไร?
- อะไรที่ช่วยให้ไอน้อยลง?
- เมื่อเจออากาศเย็น คุณมีอาการหายใจไม่ทันหรือหายใจมีเสียงหวีดหรือไม่?
- ช่วงนี้คุณเดินทางบ้างหรือไม่?
ทำไมการเตรียมตัวถึงสำคัญ?
การเตรียมข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
คำถามที่พบบ่อย
- ไอเรื้อรังคืออะไร?
ไอเรื้อรัง คืออาการไอที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 2 เดือนในผู้ใหญ่ และมากกว่า 1 เดือนในเด็ก - ไอเรื้อรังเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง?
สาเหตุทั่วไป ได้แก่ การสูบบุหรี่ ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน โรคหอบหืด และโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดหรือโรคปอด - อาการไอเรื้อรังรักษาอย่างไร?
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากไอจากกรดไหลย้อน อาจใช้ยาลดกรด หากไอจากภูมิแพ้ อาจใช้ยาแก้แพ้หรือยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ - ควรพบแพทย์เมื่อไร?
หากไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์ มีเสมหะหรือไอเป็นเลือด ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม - การดูแลตัวเองที่บ้านสำหรับอาการไอเรื้อรังคืออะไร?
ดื่มน้ำอุ่น ใช้เครื่องเพิ่มความชื้น งดสูบบุหรี่ และใช้ยาอมแก้เจ็บคอสามารถช่วยบรรเทาอาการไอได้