เลือกหัวข้อที่อ่าน
หูดหงอนไก่
หูดหงอนไก่ (Genital warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ชนิดที่ทำให้เกิดหูด หรือติ่งเนื้อขรุขระคล้ายหงอนไก่ขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือทวารหนัก ทำให้รู้สึกคัน แสบร้อน หรือมีตกขาว หูดหงอนไก่เป็นโรคที่เจริญเติบโตได้ดีในที่อับชื้น ทำให้เกิดรอยโรค (lesion) หรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้แต่เชื้อ HPV จะคงอยู่ในร่างกายตลอดไป หูดหงอนไก่สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV (HPV vaccine)
หูดหงอนไก่ มีสาเหตุจากอะไร?
หูดหงอนไก่ (Genital warts, Condyloma acuminata) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human papilloma virus: HPV) ที่มีจำนวนกว่า 40 สายพันธุ์ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังหรือเยื่อบุผนังภายในของผู้ที่เป็นโรคนี้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ หรือจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดแบบธรรมชาติ การติดเชื้อทำให้เนื้อเยื่อเสียหายและเกิดรอยโรคซึ่งเป็นลักษณะของความผิดปกติที่แสดงออกทางผิวหนัง โดยไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 6 และสายพันธุ์ที่ 11 เป็นสายพันธุ์หลักที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่บริเวณผิวหนังและเยื่อบุผิวภายในร่างกาย โดยธรรมชาติ เชื้อ HPV ชนิดที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ไม่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง เว้นแต่มีการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูงร่วมด้วย ที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งทวารหนักได้
หูดหงอนไก่ ติดต่อได้อย่างไร?
- การติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะเพศชาย-ช่องคลอด อวัยวะเพศชาย-ทวารหนัก และทางช่องคลอด-ช่องคลอด
- การสัมผัสกับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีเชื้อ HPV เช่น ปาก มือ นิ้วมือ นิ้วเท้า
- การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ลิปสติก ผ้าเช็ดตัว สบู่ มีดโกน หรือ อุปกรณ์ของเล่นสำหรับมีเพศสัมพันธ์ (Sex toy)
- การทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) ให้กับผู้ที่มีเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ 6 และ 11
- การรับการทำออรัลเซ็กส์ จากผู้ที่มีเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ที่อวัยวะเพศ ปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น
- การสัมผัสแบบแนบชิด เนื้อแนบเนื้อ หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากการหลั่ง
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น การติดเชื้อ โรคเบาหวานที่คุมไม่ได้ (Brittle diabetes) หรือการทานยากดภูมิคุ้มกัน
- เป็นเริม หรือเคยเป็นเริมมาก่อน
- การติดเชื้อจากแม่ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่สู่ลูกผ่านการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ
อาการของหูดหงอนไก่ เป็นอย่างไร?
ลักษณะของหูดหงอนไก่ คือ มีตุ่ม หรือติ่งเนื้อยื่นออกจากผิวหนังภายในร่างกาย หรือภายนอกร่างกายกระจายออกทางด้านบนคล้ายดอกกะหล่ำ หรือหงอนไก่ หูดหงอนไก่สามารถขยายจำนวนได้ดีในที่อับชื้น ที่ร้อนชื้น หรือในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ในบางราย หูดหงอนไก่อาจปรากฏเป็นเพียงรอยโรคขนาดเล็กที่แทบมองไม่เห็น หรืออาจไม่มีหูดหรือติ่งเนื้อขึ้นเลย ลักษณะเฉพาะของหูดหงอนไก่ มีดังนี้
- ติ่งเนื้อผิวเรียบ หรือผิวขรุขระนูนยื่นออกจากผิวหนังเป็นหยัก ๆ หรือเป็นตะปุ่มตะป่ำ
- ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน
- ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อสีขาว สีเนื้อ สีชมพู หรือสีแดง
- ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อตุ่มเดียว หรือหลาย ๆ ตุ่มขึ้นเป็นกระจุกรวมกัน
- มีอาการคัน แสบร้อน รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากหรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่
- มีเลือดออกที่ติ่งเนื้อ หรือไหลออกทางช่องคลอด โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
บริเวณที่มักพบหูดหงอนไก่
- เยื่อบุผิวหนังอวัยวะเพศชาย หรืออวัยวะเพศหญิง
- ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต หนังหุ้มองคชาต หนังหุ้มอัณฑะ
- ปาก ริมฝีปาก คอหอย
- ปากมดลูก ภายในช่องคลอด
- ท่อปัสสาวะ
- รอบทวารหนัก ฝีเย็บ
- ขาหนีบ
- ลำไส้ตรง หรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- รอบปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด
- แคมเล็ก หรือแคมใน (Labia minora)
- แคมใหญ่ หรือแคมนอก (Labia minora)
การวินิจฉัยหูดหงอนไก่ มีวิธีการอย่างไร?
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่เบื้องต้นโดยพิจารณาจากลักษณะเฉพาะภายนอกของโรคร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันโรค สำหรับการวินิจฉัยหูดหงอนไก่ที่เกิดขึ้นภายในอวัยวะในร่างกาย เช่น ปากมดลูก สูตินรีแพทย์จะทำการตรวจภายในเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้อง แม่นยำในการวินิจฉัยโรค การตรวจวินิจฉัยหูดหงอนไก่มีวิธีการ ดังนี้
- การตรวจภายใน (Pelvic exam) เป็นการตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะในอุ้งเชิงกรานสตรีทั้งภายในและภายนอก รวมถึงอวัยวะข้างเคียง โดยเรียงจากอวัยวะภายนอกสู่อวัยวะภายใน เช่น บริเวณรอบปากช่องคลอด แคมนอก แคมใน ผนังช่องคลอด หรือปากมดลูก ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย แพทย์อาจใช้วิธีการส่องกล้องตรวจปากมดลูกด้วยวิธีการตรวจคอลโปสโคป (Colposcope) หรือการส่องกล้องขยายเพื่อตรวจหาความผิดปกติบริเวณช่องคลอด เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) และอวัยวะภายนอกสตรี
- การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (ThinPrep Pap Test) ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอด มีหนอง หรือมีสารคัดหลั่งทางช่องคลอด สูตินรีแพทย์อาจขอให้มีการตรวจ ThinPrep Pap Test เพิ่มเติมเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากอาจเป็นจากเชื้อไวรัส HPV ชนิดความเสี่ยงสูงที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
- การตรวจหาสายพันธุ์เชื้อเอชพีวี (HPV DNA Test) เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV แบบเจาะลึกระดับ DNA เพื่อค้นหาเชื้อเอชพีวีที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหูดหงอนไก่ รวมถึงเชื้อ HPV ชนิดความเสี่ยงสูงที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูก
- การตรวจทางทวารหนัก (Rectal exam) เป็นการตรวจหาความผิดปกติทั้งภายในทวารหนัก บริเวณหูรูดและผิวภายนอกทวารหนักโดยการส่องกล้องดูทวารหนัก (Anoscope)
การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องจะนำไปสู่การรักษาโรคที่ตรงจุด โดยหากพบว่ามีหูดหรือติ่งเนื้อขึ้นที่อวัยวะเพศ มีเลือดหรือสารคัดหลั่งไหลออกจากอวัยวะเพศ หรือสงสัยว่าอาจติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบพบแพทย์ทันที
การรักษาหูดหงอนไก่ มีวิธีการอย่างไร?
เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคหูดหงอนไก่ แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาหลายวิธีเพื่อให้ได้ผลดีในการรักษา เช่น วิธีการให้ยาทาภายนอก วิธีการผ่าตัด หรือวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่ขยายใหญ่ขึ้น หรือเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมถึงป้องกันไม่ให้เป็นพาหนะนำโรคสู่ผู้อื่น ผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี อาจหายจากอาการของโรคเองโดยไม่ต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสจะคงอยู่ในร่างกายตลอดไปโดยไม่แสดงอาการใด ๆ และมีโอกาสกลับมาเป็นโรคซ้ำ เมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ วิธีการรักษาหูดหงอนไก่ มีวิธีการดังต่อไปนี้
- การรักษาโดยการทายา (Topical medications) โดยแพทย์จะทำการนัดทายาที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละครั้ง ทุกสัปดาห์ เป็นการทายาทั้งภายนอกและอวัยวะภายในที่เป็นหูด โดยยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์โรคหูดหงอนไก่ ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและหลุดออกไป เช่น ยาอิมิควิโมด 5% (5% Imiquimod) ยาโพโดฟิลอก 5% (0.5% Podofilox) หรือ สารละลายกรดไตรคลอโรอะเซติกเข้มข้น 80-90 % (80-90 % Trichloroacetic acid) ทั้งนี้เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ดี แพทย์จะขอให้ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนทายา เพื่อป้องกันไม่ให้บริเวณที่ทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
- การผ่าตัดชิ้นเนื้อออก (Surgical excision) แพทย์จะพิจารณาทำการรักษาโดยการผ่าตัด โดยเฉพาะหูดหงอนไก่ที่มีขนาดใหญ่ หรือในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ หรือคุณแม่ที่เป็นหูดหงอนไก่ที่กำลังจะคลอดบุตร แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
- การจี้ร้อนด้วยไฟฟ้า (Electrocautery) เป็นการรักษาด้วยการจี้หูดด้วยความร้อนสูง เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่เติบโตผิดปกติ
- การจี้เย็นด้วยไนโตรเจนเหลว (Liquid nitrogen cryotherapy) เพื่อยับยั้งการเติบโตของหูด ช่วยให้ผิวฟื้นตัว และให้รอยโรคหลุดไป
- การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser treatments) โดยแพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการนี้กับหูดหงอนไก่ที่มีลักษณะขึ้นเป็นวงกว้างและรักษาได้ยาก
ภาวะแทรกซ้อนของหูดหงอนไก่ คืออะไร?
โดยทั่วไป เชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่จะไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่หากมีการติดเชื้อไวรัส HPV หลายสายพันธุ์รวมกัน โดยเฉพาะสายพันธุ์ชนิดความเสี่ยงสูง ก็อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่ได้ เช่น การตกขาวที่มากผิดปกติ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งที่ปากหรือคอหอยในเพศหญิง และมะเร็งองคชาต หรือมะเร็งทวารหนักในเพศชาย
นอกจากนี้ การติดเชื้อโรคหูดหงอนไก่จากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดตามธรรมชาติ ยังสามารถทำให้ทารกติดโรคหูดหงอนไก่จากสารคัดหลั่งที่อยู่บริเวณช่องคลอดได้ ทำให้ทารกเป็นหูดที่บริเวณทางเดินหายใจ หลอดลม หรือคอหอยที่ปิดกั้นทางเดินหายใจจนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและเสียชีวิต ดังนั้น แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดคลอดเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อ
การป้องกันหูดหงอนไก่ มีวิธีการอย่างไร?
วิธีการป้องกันหูดหงอนไก่ที่ดีที่สุดคือการรับการฉีดวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ทั้ง 9 สายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ โดยสามารถฉีดได้ทั้งเพศหญิง และเพศชาย และสามารถฉีดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 11-12 ปีขึ้นไป หรืออาจเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 9 ขวบทั้งเพศชายและหญิง วิธีการป้องกันหูดหงอนไก่ มีดังนี้
- การพบแพทย์ทันทีเมื่อสังเกตเห็นรอยโรคที่อวัยวะเพศ หรือผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีอาการของโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน
- ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอวัยวะของผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่
- หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมโลดโผนทางเพศ
- รักษาความสะอาดของร่างกาย
- รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี
หูดหงอนไก่ เกิดซ้ำได้หรือไม่?
หูดหงอนไก่ เมื่อหายดีแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกมากถึงร้อยละ 70 ในระยะเวลา 6 เดือนหลังพบแพทย์ครั้งแรก โดยการเกิดโรคซ้ำอาจมีสาเหตุเกิดจากการใช้ยารักษาโรคที่ไม่มีประสิทธิภาพ การติดเชื้อโรคซ้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ การเกิดรอยโรคจากเชื้อไวรัส HPV ที่แฝงในร่างกายจากภาวะภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ หรือโรคบางโรค เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคเอดส์
หูดหงอนไก่ ตรวจเร็ว รักษาไว คืนความมั่นใจให้ชีวิตคู่
นอกเหนือจากอาการทางกาย หูดหงอนไก่ยังมีผลต่อภาวะทางใจ ผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่อาจรู้สึกอับอาย เครียด วิตกกังวล และสูญเสียความมั่นใจ จนอาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน จนอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่
หูดหงอนไก่ไม่ใช่โรคร้ายแรง สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีนและสามารถรักษาให้หายได้ โดยเมื่อพบอาการแสดงของโรค ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ และรับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผู้ที่เคยเป็นหูดหงอนไก่และรักษาจนหายดีแล้ว ควรรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันคงที่ เพียงเท่านี้ก็จะมีสุขอนามัยที่ดี และลดโอกาสการเป็นโรคซ้ำได้
บทความโดย
พญ.สาวินี รัชชานนท์
สูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
ประวัติแพทย์
คำถามที่พบบ่อย
- คำถาม: หูดหงอนไก่ป้องกันไม่ให้แพร่กระจายได้อย่างไร?
คำตอบ: สิ่งที่สามารถทำได้เพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อไปยังคู่นอน คือ ใช้ถุงยางอนามัยเสมอขณะมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีหูดที่มองเห็นได้
- คำถาม: หูดหงอนไก่กับเริม ต่างกันอย่างไร?
คำตอบ: โรคเริมมีความคล้ายคลึงกับหูดหงอนไก่ เนื่องจากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งสองโรค โดยเริมจะมีลักษณะเป็นแผลและตุ่มน้ำใสขึ้นที่อวัยวะเพศ ซึ่งแตกต่างจากหูดหงอนไก่ที่เป็นตุ่มเล็ก ๆ มักไม่ใช่แผลเปิด การติดเชื้อของทั้งสองโรคจะแพร่กระจายขณะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทวารหนัก
- คำถาม: การมีหูดหงอนไก่ หมายความว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
คำตอบ: ใช่ เนื่องจากหูดที่อวัยวะเพศ หรือหูดหงอนไก่ เกิดจากเชื้อ HPV ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์