เลือกหัวข้อที่ต้องกาอ่าน
นิ่วในไต
ก้อนนิ่วในไตเกิดขึ้นเมื่อในปัสสาวะมีสาร เช่น แคลเซียม ออกซาเลต ซีสตีน หรือกรดยูริคอยู่ในระดับที่สูง หรือเมื่อดื่มน้ำน้อยเกินไป ผลึกเล็ก ๆ จากสารเหล่านั้นก่อตัวและโตอยู่ข้างในไต นิ่วในไตมักไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ และสามารถขับออกทางปัสสาวะได้ตามธรรมชาติ เว้นแต่ว่าก้อนนิ่วไปอุดหรือปิดท่อปัสสาวะก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้ และจำเป็นต้องนำก้อนนิ่วออก เมื่ออายุ 70 ปี ผู้ชาย 1 ใน 5 คนและผู้หญิง 1 ใน 10 คนจะเป็นโรคนิ่วในไต
ปัจจัยเสี่ยงนิ่วในไต
ปัจจัยด้านอาหาร
- ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
- รับประทานผักปวยเล้งเป็นประจํา
- รับประทานอาหารเสริมแคลเซียม
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมหรือไฟเทตต่ำ (ไฟเทตพบได้ในข้าวไรย์ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และถั่ว)
- รับประทานอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์ น้ำตาล(ซูโครส ฟรุกโตส) และโซเดียมสูง
- โรคโครห์น (Crohn's disease)
- โรคเบาหวาน
- การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหารหรือลําไส้
- โรคเกาต์
- โรคอ้วน
- ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงแบบปฐมภูมิ
ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรงเป็นนิ่วในไตจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคสูง และเมื่อมีนิ่วในไตแล้วโอกาสเป็นโรคซ้ำอีกจะสูงด้วยเช่นกัน
อาการนิ่วในไต
ผู้ป่วยอาจมีก้อนนิ่วเป็นเวลาหลายปีโดยไม่มีอาการแสดงใด ๆ โดยอาจบังเอิญตรวจพบก้อนนิ่วจากการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพจากโรคอื่น ๆ แต่เมื่อร่างกายขับก้อนนิ่วผ่านไปยังระบบทางเดินปัสสาวะ ก็อาจจะก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ดังนี้
- อาการปวดมักเกิดขึ้นเมื่อก้อนนิ่วอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ อาการปวดอาจเป็นความรู้สึกไม่สบายเพียงเล็กน้อยหรือปวดอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามอาการปวดจะไม่หายไปเองหากไม่ได้รับการรักษา อาการปวดนิ่วไตอาจนานถึง 20-60 นาที อาการปวดมักจะเริ่มต้นจากด้านข้างหรือหน้าท้องส่วนล่างและแผ่ไปทางขาหนีบ ผู้ป่วยอาจะมีอาการเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ
- ปัสสาวะเป็นเลือดคือเมื่อปัสสาวะเป็นสีชมพูหรือสีแดง เลือดในปัสสาวะอาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่สามารถตรวจพบได้ในห้องปฏิบัติการ
- ปัสสาวะพร้อมมีเศษคล้ายก้อนกรวดที่เกิดจากก้อนนิ่วที่แตกเล็กลง
- คลื่นไส้อาเจียน
- รู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย ๆ
การตรวจวินิจฉัย
- การซักประวัติทางการแพทย์และตรวจร่างกาย
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบไม่ให้สารทึบแสง การเอกซเรย์แบบทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจพบก้อนนิ่วได้ในหลายกรณี
- การตรวจอัลตราซาวด์ เหมาะสำหรับผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการได้รับรังสี เช่น เด็กและสตรีมีครรภ์ อย่างไรก็ตามการตรวจอัลตราซาวด์อาจไม่สามารถพบก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็ก หรือก้อนที่อยู่ในท่อไตได้
การรักษานิ่วในไต
แพทย์จะพิจารณารูปแบบการรักษาที่เหมาะสม โดยดูจากระดับความเจ็บปวด ความสามารถในการดื่มน้ำ และขนาดและตําแหน่งของก้อนนิ่วที่คาดว่าจะหลุดออกได้เอง ถ้าผู้ป่วยสามารถทนต่อความเจ็บปวด รับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ แพทย์อาจให้รักษาตัวที่บ้าน ในรายที่มีอาการปวดรุนแรง คลื่นไส้ หรือมีไข้ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อรับสารเหลวทางหลอดเลือดดํา โดยการมีไข้อาจเกิดจากการติดเชื้อ
การดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- ยาช่วยขับก้อนนิ่วจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อท่อไตช่วยให้นิ่วถูกขับออกไปได้เร็วขึ้น ผู้ป่วยอาจจะต้องรับประทานยาเป็นเวลา 2-3 วันหรือสัปดาห์ เนื่องจากก้อนนิ่วไม่สามารถถูกกำจัดไปได้ในทันที
- การกรองปัสสาวะเพื่อเก็บก้อนนิ่วมาตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม การตรวจประเภทของก้อนนิ่วจะช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การรักษาที่โรงพยาบาล
ก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่กว่า 9 - 10 มิลลิเมตรควรต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญการด้านระบบทางเดินปัสสาวะลดขนาดหรือสลายก้อนนิ่ว
- การส่องกล้องสลายนิ่วเป็นการใช้กล้องสอดผ่านท่อและกระเพาะปัสสาวะเข้าไปยังท่อไตที่เชื่อมกระเพาะปัสสาวะกับไต แพทย์จะลดขนาดหรือสลายนิ่วหากก้อนนิ่วไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ
- การสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก (Shock wave lithotripsy) เป็นการส่งคลื่นเสียงความเข้มสูงไปสลายนิ่วเพื่อให้ร่างกายขับนิ่วออกมาได้ เหมาะกับผู้ที่มีนิ่วขนาด 1 เซนติเมตรหรือเล็กกว่าอยู่ในไตหรือท่อปัสสาวะด้านบน วิธีนี้ไม่เหมาะกับก้อนนิ่วขนาดใหญ่หรือแข็ง
- การผ่าตัดนิ่วโดยการส่องกล้องเข้าไปในไต (Percutaneous nephrolithotomy) เป็นการผ่าตัดเอานิ่วในไตออกด้วยการใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก วิธีนี้มีประสิทธิภาพในการสลายนิ่วที่ซับซ้อนมีขนาดใหญ่
หากผู้ป่วยมีก้อนนิ่วที่แสดงอาการใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ถึงแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยมากแพทย์มักแนะนําให้สลายนิ่ว
การป้องกันนิ่วในไต
เมื่อเป็นโรคนิ่วในไตแล้วมักมีโอกาสเป็นซ้ำได้ แพทย์อาจให้ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินสุขภาพและความเสี่ยงของผู้ป่วย
- การตรวจปัสสาวะ โดยผู้ป่วยจะต้องเก็บปัสสาวะที่ขับออกมาทั้งหมดภายในเวลา 24 ชั่วโมงเพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์
- การตรวจก้อนนิ่วที่ถูกขับออกมา แพทย์จะให้เก็บก้อนนิ่วเพื่อนำมาตรวจดูสารประกอบ
- การตรวจเลือด
- การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่าย