เลือกหัวข้อที่อ่าน
- โรคตาแดง มีอาการอย่างไร
- โรคตาแดงเกิดจากอะไร
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นตาแดง
- ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาแดง
- โรคตาแดง มีวิธีป้องกันอย่างไร
- โรคตาแดง มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- โรคตาแดง มีวิธีการรักษาอย่างไร
โรคตาแดง
โรคตาแดง เป็นโรคติดเชื้อที่เยื่อบุตาซึ่งเป็นเยื่อเมือกใสคลุมผิวลูกตาและด้านในของเปลือกตา เมื่อเยื่อบุตาติดเชื้อ หลอดเลือดจะขยายตัวชัดขึ้น ทำให้ดวงตามีสีชมพูหรือออกแดง
สาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดโรคตาแดง คือ การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาการภูมิแพ้ และท่อน้ำตาอุดตันในทารกแรกเกิด
เมื่อเป็นโรคตาแดง ผู้ป่วยมักมีอาการระคายเคืองที่ดวงตา แต่มักไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น อาการระคายเคืองจะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษา โรคตาแดงบางชนิดเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย การได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้
โรคตาแดง มีอาการอย่างไร
- ดวงตาแดง ระคายเคือง
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา มีขี้ตา ตาแฉะ
- น้ำตาไหล
ควรพบแพทย์เมื่อไร
หากมีอาการตาแดงที่พบร่วมกับอาการปวดตา เจ็บตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา ตามัว ตาไม่สู้แสง ควรพบแพทย์ทันที เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษา
เมื่อเป็นโรคตาแดง ผู้ป่วยควรหยุดใส่คอนแทคเลนส์ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 12-24 ชั่วโมง ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคและโรคทางตาอื่น ๆ ที่อาจเกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์
โรคตาแดงเกิดจากอะไร
โรคตาแดงอาจเกิดจากสาเหตุดังนี้
- การติดเชื้อไวรัส
- การติดเชื้อแบคทีเรีย
- โรคภูมิแพ้
- สารเคมีเข้าตา
- สิ่งแปลกปลอมเข้าตา
- ท่อน้ำตาอุดตันในเด็กแรกเกิด
โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
สาเหตุของโรคตาแดงส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัสอะดีโน เชื้อชนิดอื่นที่ทำให้เกิดโรคตาแดงได้ เช่น เชื้อไวรัสโรคเริม เชื้อไวรัสโรคงูสวัด และเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ รวมถึงเชื้อไวรัสโรคโควิด 19
เมื่อผู้ป่วยเป็นหวัดหรือติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ มีอาการเจ็บคอ ผู้ป่วยอาจเป็นโรคตาแดงซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียได้ การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาดหรือการร่วมใช้คอนแทคเลนส์ของบุคคลอื่นอาจทำให้เป็นโรคตาแดงจากเชื้อแบคทีเรียได้เช่นกัน
โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียนั้นติดต่อกันได้ง่าย โดยผ่านทางสารคัดหลั่งจากดวงตาข้างที่ติดเชื้อ ซึ่งโรคตาแดงชนิดนี้อาจติดเชื้อข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้
ภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา
โรคภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสร ซึ่งอาจมีผลต่อดวงตาทั้ง 2 ข้าง อิมมูโนโกลบูลิน อี (IgE) เป็นชนิดของแอนติบอดีที่ร่างกายผลิตเพื่อตอบสนองกับสารก่อภูมิแพ้ แมสต์เซลล์ (mast cell) ที่อยู่ในเมือกหุ้มตาและทางเดินหายใจจะถูกกระตุ้นให้หลั่งสารอักเสบที่เรียกว่า ฮีสตามีน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการตาแดงซึ่งเป็นอาการหนึ่งของภูมิแพ้
ผู้ป่วยภูมิแพ้ที่เยื่อบุตาอาจมีอาการจาม น้ำมูกใส คันตา น้ำตาไหล และตาอักเสบ อาการส่วนใหญ่มักทุเลาลงเมื่อใช้ยาหยอดตา
ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการระคายเคือง
เมื่อสารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตาทำให้ตาระคายเคืองจนเกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ การพยายามล้างสารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมก็อาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคืองและตาแดงได้ อาการอื่นที่พบร่วมได้ เช่น น้ำตาไหล มีขี้ตา ซึ่งมักหายเองภายใน 1 วัน
ควรรีบพบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้นหลังล้างทำความสะอาดตา หรือโดนสารเคมีประเภทด่างหรือโซดาไฟ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้ หรือ หากอาการไม่ดีขึ้นหลังล้างดวงตา สิ่งแปลกปลอมอาจยังคงอยู่ในตา ทำให้ครูดกระจกตาและตาขาวได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นตาแดง
- สัมผัสสารที่ก่อภูมิแพ้ ทำให้เกิดภูมิแพ้เยื่อบุตา
- สัมผัสผู้ป่วยโรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
- สวมใส่คอนแทคเลนส์ โดยเฉพาะเลนส์ชนิดที่ใส่ข้ามคืน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาแดง
โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบเป็นสาเหตุของภาวะกระจกตาอักเสบซึ่งมีผลต่อการมองเห็นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการเจ็บตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา ตามัวมองไม่ชัด ตาไม่สู้แสง ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
โรคตาแดง มีวิธีป้องกันอย่างไร
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตนตามสุขลักษณะที่ดี ดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตา
- ล้างมือสม่ำเสมอ
- ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวที่สะอาดเท่านั้น
- ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
- ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ทางดวงตาร่วมกับผู้อื่น
- ทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้กับดวงตาที่มีหรือกำลังใช้อยู่
- เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อย ๆ
โรคตาแดงติดต่อได้ง่ายแหมือนโรคหวัด หากสามารถปฏิบัติตัวตามสุขลักษณะที่ดีได้ ผู้ป่วยอาจสามารถกลับไปทำงานหรือไปโรงเรียน ในกรณีที่ไม่สามารถลาหยุดได้
การป้องกันโรคตาแดงในเด็กวัยแรกเกิด
ดวงตาของเด็กแรกเกิดจะสัมผัสกับแบคทีเรียทางช่องคลอดของมารดา ซึ่งแบคทีเรียดังกล่าวไม่มีผลใด ๆ ต่อตัวมารดา แต่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาในทารกแรกเกิด ซึ่งอาจเกิดเยื่อบุตาอักเสบรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อรักษาการมองเห็น โดยทั่วไปเด็กทารกแรกเกิดจะได้รับการป้ายยาปฏิชีวนะที่ดวงตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
โรคตาแดง มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาล แพทย์สามารถทำการตรวจวินิจฉัยจากการถามอาการและตรวจสอบประวัติของผู้ป่วย
ในบางรายอาจจำเป็นต้องนำตัวอย่างสารคัดหลั่งในดวงตาไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ โดยมักตรวจในรายที่มีความรุนแรงหรือเสี่ยงสูง เช่นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง หรือมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา
โรคตาแดง มีวิธีการรักษาอย่างไร
การรักษาโรคตาแดงโดยมากเป็นการบรรเทาอาการ ซึ่งได้แก่ การใช้ยาหยอดตา การทำความสะอาดเปลือกตาด้วยผ้าเปียก หรือการใช้ผ้าประคบร้อนหรือเย็น
ควรหยุดใช้คอนแทคเลนส์จนกว่าจะหาย แพทย์อาจแนะนำให้ทิ้งคอนแทคเลนส์แบบใช้แล้วทิ้งที่ผู้ป่วยมีอยู่
หากใส่คอนแทคเลนส์ชนิดใส่ระยะยาว ควรทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ชนิดใส่ระยะยาวก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ และควรปรึกษาแพทย์ว่าควรเปลี่ยนกล่องใส่คอนแทคเลนส์ที่ใช้ก่อนหรือระหว่างที่เป็นโรคตาแดงหรือไม่ รวมถึงควรหยุดใช้และทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้กับดวงตาก่อนเกิดอาการ
โดยทั่วไปยาหยอดตาฆ่าเชื้อปฏิชีวนะนั้นไม่จำเป็น เนื่องจากอาการตาแดงมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส การใช้ยาฆ่าเชื้อปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดการแพ้ยาหรือเชื้อดื้อยาได้ การติดเชื้อไวรัสมักหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยอาการมักเริ่มจากดวงตาเพียงข้างเดียว จากนั้นอีก 2-3 วันก็อาจลามไปติดอีกข้าง แต่ในท้ายที่สุดก็จะหายได้เอง
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสอันมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสโรคเริมอาจต้องใช้ยาต้านไวรัสในการรักษาร่วมด้วย
การรักษาโรคภูมิแพ้เยื่อบุตา
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เยื่อบุตาจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาเฉพาะ ซึ่งมีสารต้านฮีสตามีนและยาระงับการหลั่งสารจากแมสต์เซลล์ (mast cell stabilizer) เพื่อควบคุมอาการแพ้ ยาหยอดตาอาจมีส่วนผสมของยาหดหลอดเลือด สเตียร์รอยด์ และยาลดการอักเสบ
การใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสารต้านฮีสตามีนและยาลดการอักเสบที่หาซื้อได้ทั่วไปสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมว่าผู้ป่วยควรใช้ยาหยอดตาชนิดใด
และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้เพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้เยื่อบุตา
การดูแลรักษาที่บ้านและการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต
เพื่อบรรเทาอาการด้วยตนเองที่บ้าน ผู้ป่วยสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
- ใช้ผ้าประคบเย็นหรือร้อน
ผู้ป่วยสามารถทำผ้าประคบดวงตา โดยแช่ผ้าสะอาด ไม่เป็นขุยลงในน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น บิดให้หมาดและประคบลงบนดวงตาที่มีอาการ ความเย็นจะช่วยบรรเทาอาการได้ หากผู้ป่วยชอบความอุ่นก็ใช้ผ้าประคบอุ่นได้เช่นกัน ไม่ควรใช้ผ้าผืนเดียวกันประคบดวงตาอีกข้างที่ไม่ติดเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ - ยาหยอดตา
ยาหยอดตาสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ยาหยอดตาบางชนิดหรือน้ำตาเทียมที่มีสารต้านฮีสตามีน หรือยาชนิดอื่น ๆ ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้เยื่อบุตาได้ - คอนแทคเลนส์
ควรหยุดใช้คอนแทคเลนส์ ระยะเวลาที่ควรหยุดใส่ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค
ควรปรึกษาแพทย์ว่าจำเป็นต้องซื้อคอนแทคเลนส์แบบใช้แล้วทิ้ง น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ และกล่องใส่คอนแทคเลนส์ใหม่หรือไม่ สำหรับคอนแทคเลนส์ชนิดใส่ได้ในระยะยาว ควรทำความสะอาดฆ่าเชื้อก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
หากผู้ป่วยมีอาการเกี่ยวกับดวงตาที่กังวลใจอยู่ ควรไปพบแพทย์ และจำเป็นต้องพบจักษุแพทย์หากมีอาการแย่ลง
สิ่งที่ผู้ป่วยควรเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
ผู้ป่วยควรสอบถามว่ามีข้อห้ามใด ๆ ที่ควรทำก่อนพบแพทย์หรือไม่ ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องหยุดใช้ยาหยอดตาหรือคอนแทคเลนส์ และจดบันทึกเรื่องต่อไปนี้
- อาการที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับโรคตาแดง
- ยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่รับประทานอยู่
- คำถามที่ต้องการถามแพทย์
ตัวอย่างคำถามที่ผู้ป่วยอาจถามแพทย์
- โรคตาแดงเกิดจากอะไร
- จำเป็นต้องตรวจอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
- วิธีการรักษามีอะไรบ้าง
- หลังเริ่มการรักษา ยังสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่
- มียาตัวเลือกอื่น ๆ ที่แพทย์แนะนำได้หรือไม่
- สามารถหาข้อมูลเรื่องโรคตาแดงเพิ่มเติมได้จากที่ใด
- จำเป็นต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการหรือไม่
คำถามที่แพทย์อาจจะถาม
ตัวอย่างคำถามที่แพทย์อาจจะถาม
- อาการเริ่มขึ้นเมื่อไร
- มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นต่อเนื่องกัน
- มีอาการรุนแรงหรือไม่
- อะไรที่สามารถช่วยบรรเทาอาการนั้นๆได้
- อะไรที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น
- มีอาการในตาข้างเดียว หรือทั้ง 2 ข้าง
- ปกติใส่คอนแทคเลนส์หรือไม่
- ดูแลและทำความสะอาดคอนเทคเลนส์อย่างไร
- เปลี่ยนกล่องใส่คอนแทคเลนส์บ่อยหรือไม่
- สัมผัสผู้ป่วยโรคหวัด เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือตาแดงบ้างหรือไม่
สิ่งที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ระหว่างรอพบแพทย์
หยุดใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าจะได้รับการรักษาจนหาย ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการแพร่เชื้อ ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือ ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น
บทความโดย