เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ถ่ายเป็นเลือดคืออะไร
- สีของเลือดในอุจจาระสำคัญอย่างไร
- สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดมีอะไรบ้าง
- สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดในเด็ก
- อาการถ่ายเป็นเลือดมีวิธีตรวจวินิจฉัย
- อาการถ่ายเป็นเลือด มีแนวทางและวิธีการรักษาอย่างไร
- คำถามที่พบบ่อย
ถ่ายเป็นเลือด (Rectal Bleeding / Blood in stool) สาเหตุเกิดจากอะไร ทำไมถึงอันตราย
ถ่ายเป็นเลือด คือภาวะที่เลือดออกในทางเดินอาหารร่วมกับการถ่ายอุจจาระ อาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ริดสีดวงทวาร แผลขอบทวารหนัก โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรงอย่างอื่น เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น เมื่อถ่ายเป็นเลือด หรือสังเกตเห็นสีของอุจจาระเป็นสีแดงหรือดำ จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม
ถ่ายเป็นเลือดคืออะไร?
การถ่ายเป็นเลือด (Blood in stool, Rectal Bleeding หรือ Hematochezia) คือภาวะที่มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ ซึ่งบริเวณที่เลือดออกนั้นอาจอยู่ในทางเดินอาหารส่วนบนหรือส่วนล่าง เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง (Rectum) ไปจนถึงทวารหนัก สาเหตุของอาการเลือดออกอาจเกิดจากโรคที่ไม่รุนแรง เช่น ริดสีดวงทวาร หรือแผลปริบริเวณขอบทวาร แต่ก็อาจเกิดจากภาวะรุนแรง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง วัณโรคของลำไส้ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน
สีของเลือดในอุจจาระสำคัญอย่างไร?
สีของเลือดในอุจจาระสามารถบ่งชี้ถึงตำแหน่งที่เลือดออกและความรุนแรงของอาการได้ ดังนี้
- เลือดสีแดงสดออกมาพร้อมกับอุจจาระ มักเกิดจากแผลใกล้ทวารหนัก ซึ่งอาจเกิดจากแผลปริบริเวณขอบทวารหรือริดสีดวงทวาร
- อุจจาระมีสีแดงเข้มหรือดำปนแดงหรือคล้ายสีเลือดหมู แสดงว่ามีเลือดออกในบริเวณสูงจากทวาร เช่น ลำไส้ใหญ่หรือลำไส้เล็ก
- บางครั้งอุจจาระอาจจะมีสีดำหรือดำคล้ำเหมือนน้ำมันดิน และมีกลิ่นคาวเลือด (เรียกว่า melena) เป็นสัญญาณของเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนต้น เช่น กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น
ผู้ป่วยบางรายอาจมีเลือดแฝงในอุจจาระจำนวนเล็กน้อยมาก ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ตรวจพบได้ด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test: FOBT) ซึ่งการตรวจวิธีนี้จะช่วยในการตรวจภาวะเลือดออกจำนวนน้อย โดยเฉพาะมักใช้ในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อมีอาการถ่ายเป็นเลือดควรไปพบแพทย์ไม่ว่าจะพบเลือดในอุจจาระมากหรือน้อย หากไม่แน่ใจว่ามีเลือดออกในอุจจาระหรือไม่ สามารถส่งอุจจาระตรวจทางห้องปฏิบัติตรวจหา FOBT ดังกล่าวข้างต้น หากตรวจพบเลือดปนในอุจจาระเพียงเล็กน้อยจากการตรวจดังกล่าว ก็ถือเป็นสัญญาณว่ามีโรคในลำไส้ที่ต้องรักษา จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ แต่หากมีอาการเลือดออกมากจนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าหรืออุจจาระมีสีดำ แสดงว่ามีเลือดออกมาก โดยเฉพาะหากมีอาการรู้สึกวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที
สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดมีอะไรบ้าง?
- ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) มักเกิดจากการเบ่งถ่ายอุจจาระ การนั่งถ่ายเป็นเวลานานเป็นประจำ โดยเฉพาะคนที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คันหรือเจ็บบริเวณทวารหนัก
- แผลปริขอบทวารหนัก (Anal fissures) คือรอยฉีกขนาดเล็กที่เยื่อบุทวารหนัก มักเกิดจากการถ่ายอุจจาระที่แข็งมากหรือมีก้อนใหญ่มาก ทำให้ทวารปริและอาจเจ็บและมีเลือดสดปนออกมาด้วย
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease: IBD) เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง จากโรคโครห์น (Crohn’s disease) เป็นภาวะที่พบไม่บ่อยในประเทศไทย แต่อาจทำให้มีการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียปนเลือด ปวดท้อง อ่อนเพลีย และน้ำหนักตัวลดลง
- ภาวะลำไส้ขาดเลือด (Ischemic colitis) เกิดจากการที่เลือดไหลเวียนไปยังลำไส้ใหญ่ลดลง ทำให้เนื้อเยื่อลำไส้ขาดเลือดไปเลี้ยงจนมีภาวะเยื่อบุตายลง ทำให้มีอาการ ปวดท้อง กดเจ็บ และท้องเสียปนเลือด
- โรคผนังลำไส้โป่งพองเป็นถุงเล็กๆ (Diverticular disease) หากถุงของผนังลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อหรือหลอดเลือดบริเวณปากถุงแตก อาจทำให้ถุงของผนังลำไส้มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ปวดท้อง หรือถ่ายเป็นเลือดได้
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม เริม และซิฟิลิส อาจทำให้เยื่อบุทวารหนักเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เลือดออกได้ นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บ จนถ่ายเป็นเลือดได้เช่นกัน
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis) เกิดจากการติดเชื้อที่ลำไส้ใหญ่ หรืออักเสบเองจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ทำให้มีอาการไข้ ปวดท้อง และถ่ายเป็นมูกเลือดได้
- โรคหลอดเลือดในลำไส้ผิดปกติ (Angiodysplasia) คือหลอดเลือดในลำไส้อาจเจริญผิดที่ขึ้นมาอยู่ชั้นผิวของเยื่อบุลำไส้ เมื่อสัมผัสกับอุจจาระ ก็อาจจะแตกและเลือดออกได้ง่าย
- โรคแผลในกระเพาะอาหาร (Peptic ulcers) มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori หรือการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เป็นเวลานาน
- ติ่งเนื้อหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Polyps หรือ Colorectal cancer) อาจทำให้เลือดออกในลำไส้ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่อาจพบจากการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เท่านั้น
- หลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร (Esophageal varices) หรือ หลอดอาหารฉีกขาด (Mallory-Weiss syndrome) ส่งผลให้เลือดออกมากในทางเดินอาหารส่วนต้น ทำให้อาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระสีดำ
- ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน หรือวาร์ฟาริน อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารและอุจจาระเป็นสีดำ
- โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ (Gastroenteritis) จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น E. coli, Salmonella, Shigella หรือ Campylobacter ทำให้ท้องเสียปนเลือด คลื่นไส้ อาเจียน และปวดเกร็งในช่องท้อง
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) อาจเกิดใกล้กับทวารหนักหรือภายในลำไส้ตรง ทำให้มีเลือดออกทางทวารหนักในช่วงที่มีประจำเดือนได้
- ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding) สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ไปจนถึงลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง และทวารหนัก ซึ่งอาจจะส่งผลให้อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดสดปนในอุจจาระ หรืออาจมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน แน่นหน้าอก หรือหายใจลำบาก
สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดในเด็กคืออะไร?
- ท้องผูก เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด
- แผลในกระเพาะอาหาร มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori มักก่อให้เกิดอาการ เช่น อุจจาระสีดำ เจ็บบริเวณลิ้นปี่ หรือเรอบ่อย
- แพ้อาหาร โดยเฉพาะโปรตีนจากนมวัว ไข่ ถั่วลิสง ข้าวสาลี ปลา หรืออาหารทะเล ซึ่งอาจพบในนมผงหรือส่งผ่านมาทางน้ำนมแม่ อาการแพ้อาหารอาจทำให้ลำไส้อักเสบและเลือดออก
- อุจจาระร่วงจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือพยาธิ จากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
- ภาวะ Meckel's diverticulum หรือภาวะมีถุงที่ผนังลำไส้เล็กส่วนปลายแต่กำเนิด ซึ่งในถุงเนื้อเยื่อนั้นอาจมีเนื้อเยื่อของกระเพาะอาหารที่หลั่งกรดได้อยู่ ทำให้เลือดออก ภาวะนี้มักพบในเด็กเล็ก และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดนำถุงเนื้อเยื่อออก
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังชนิดโรคโครห์น (Crohn’s disease)
อาการถ่ายเป็นเลือดมีวิธีตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- การสวนล้างกระเพาะอาหาร (Nasogastric lavage) เป็นการใส่สายยางผ่านทางจมูก เข้าสู่กระเพาะอาหารเพื่อดูดของเหลวในกระเพาะอาหารออกมาตรวจว่ามีเลือดออกหรือไม่
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Esophagogastroduodenoscopy: EGD) เป็นการสอดกล้องขนาดเล็กที่โค้งงอได้ ผ่านทางปากลงไปยังหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อตรวจหาตำแหน่งที่เลือดออก ซึ่งแพทย์สามารถเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจได้หากจำเป็น
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นการส่องกล้องผ่านทางทวารหนักเพื่อตรวจดูภายในลำไส้ใหญ่ ช่วยในการตรวจหาจุดที่เลือดออก การอักเสบ หรือติ่งเนื้อ และแพทย์สามารถเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจในห้องปฏิบัติการได้
- การส่องกล้องลำไส้เล็ก (Enteroscopy) คือการตรวจโดยให้ผู้เข้ารับการตรวจกลืนแคปซูลที่ติดกล้องขนาดเล็กลงไปถ่ายภาพภายในลำไส้เล็กที่การส่องกล้องทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
- การตรวจเอกซเรย์ด้วยสารทึบรังสีแบเรียม (Barium X-ray) เป็นการตรวจโดยผู้เข้ารับการตรวจกลืนสารทึบรังสีแบเรียมหรือสวนเข้าทางทวารไปเคลือบผนังลำไส้ ทำให้เห็นภาพภายในชัดเจนขึ้นเมื่อทำการเอกซเรย์
- การตรวจด้วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (Radionuclide scanning) เป็นการฉีดสารกัมมันตรังสีในปริมาณเล็กน้อยเข้าทางหลอดเลือดดำ และใช้กล้องพิเศษรับสัญญาณสารกัมมันตรังสีเพื่อทราบตำแหน่งที่เลือดออก
- การตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด (Angiography) เป็นการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือด แล้วถ่ายภาพด้วยเครื่องเอกซเรย์ หากมีเลือดออก สารทึบรังสีอาจรั่วออกจากหลอดเลือด ช่วยให้แพทย์ทราบว่าเลือดออกที่ตำแหน่งใด
- การส่องกล้องตรวจทวารหนัก (Anoscopy) เป็นการตรวจทวารหนัก เพื่อหาความผิดปกติ เช่น แผลปริขอบทวาร ริดสีดวงทวาร หรือเลือดออกเฉพาะที่
- การส่องตรวจไส้ตรง (Proctoscopy) เป็นการใช้กล้องส่องตรวจเข้าไปในทวารหนักและไส้ตรง เพื่อหาความผิดปกติหรือรอยโรคในลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง
- การส่องกล้องผ่านลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Flexible sigmoidoscopy) เป็นการใช้กล้องตรวจภายในลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ซึ่งจะเห็นภาพในส่วนลำไส้ที่สูงกว่าการส่องตรวจไส้ตรง ช่วยตรวจพบการอักเสบ เลือดออก หรือความผิดปกติอื่น ๆ
- การเก็บอุจจาระส่งตรวจ (Rectal culture swab) เพื่อหาเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุของอาการเลือดออกหรือการอักเสบ
- การตรวจอุจจาระ (Stool testing) เป็นการวิเคราะห์ตัวอย่างอุจจาระในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเลือดแฝง การติดเชื้อ เช่น H. pylori ภาวะโลหิตจาง หรือปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อตรวจว่ามีการอักเสบ หรือมีเนื้องอกหรือไม่เป็นต้น
- การผ่าตัดเปิดช่องท้อง (Laparotomy) เป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อตรวจดูอวัยวะภายใน มักใช้ในกรณีที่การตรวจด้วยวิธีอื่นไม่สามารถหาสาเหตุของการถ่ายเป็นเลือดได้
อาการถ่ายเป็นเลือด มีแนวทางและวิธีการรักษาอย่างไร?
อาการถ่ายเป็นเลือดที่เกิดจากปัญหาท้องผูก มักหายได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษา และในกรณีที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อบรรเทาอาการท้องผูกและลดการเบ่งอุจจาระ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ หากอาการรุนแรงหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ แพทย์อาจทำการรักษาด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- การใช้ยา เช่น ยาปฏิชีวนะสำหรับรักษาการติดเชื้อ H. pylori ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรือยาต้านการอักเสบสำหรับผู้ป่วยลำไส้อักเสบ
- การผ่าตัด เพื่อนำติ่งเนื้อหรือส่วนของลำไส้ที่เป็นมะเร็ง ถุงผนังลำไส้อักเสบ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังออก
- การส่องกล้องเพื่อห้ามเลือด ซึ่งแพทย์อาจฉีดยา จี้ด้วยความร้อนหรือเลเซอร์ หรือรัด/หนีบหลอดเลือดที่มีเลือดออก
- การสวนหลอดเลือดด้วยเครื่องเอกซเรย์ เพื่อส่งยาผ่านสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดที่มีปัญหาโดยตรง ช่วยควบคุมไม่ให้เลือดออก มักใช้ในกรณีที่วิธีอื่นไม่ได้ผล
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
ก่อนเข้ารับการตรวจ ควรจดบันทึกอาการที่มี และเตรียมคำถามที่ต้องการถามไว้ล่วงหน้า เช่น
- อาการถือว่ารุนแรงหรือไม่
- แพทย์แนะนำวิธีการตรวจวินิจฉัยและแนวทางการรักษาด้วยวิธีใด
- ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาอาการหรือป้องกันไม่ให้กลับมาถ่ายเป็นเลือดอีก
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- ฉันควรกังวลหรือไม่หากมีเลือดปนในอุจจาระ?
หากมีเลือดปนในอุจจาระ ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ทราบสาเหตุ เลือดในอุจจาระอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคในระบบทางเดินอาหาร หากเลือดออกมากหรือเกิดขึ้นบ่อยหรือติดต่อกันนานเกินหนึ่งสัปดาห์ อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หรือในกรณีเสียเลือดมากอาจนำไปสู่ภาวะช็อก จึงควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม - อาการถ่ายเป็นเลือดเป็นเรื่องร้ายแรงเสมอไปหรือไม่?
อาการถ่ายเป็นเลือดอาจเกิดจากปัญหาไม่รุนแรง เช่น อาการท้องผูก แผลปริรอบขอบทวาร ซึ่งมักหายได้เอง อย่างไรก็ตาม ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และประเมินว่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาหรือไม่ - เลือดสีแดงสดน่ากังวลมากกว่าเลือดสีคล้ำหรือไม่?
เลือดสีแดงสดมักเกิดจากปัญหาในทวารหนักหรือลำไส้ตรง อุจจาระสีดำหรือคล้ำอาจเกิดจากเลือดออกที่บริเวณทางเดินอาหารส่วนบน เช่น กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก เมื่อผ่านการย่อยของเอนไซม์ จึงทำให้เลือดสีคล้ำขึ้น แต่ไม่ว่าเลือดที่ออกจะเป็นสีแดงสดหรือสีคล้ำ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ - การเบ่งอุจจาระสามารถทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้หรือไม่?
การออกแรงเบ่งมากเกินไปอาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารหรือแผลปริขอบทวาร ซึ่งเป็นสาเหตุของการถ่ายเป็นเลือด - สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดในเด็กเหมือนหรือแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร?
โดยทั่วไปเด็กมักมีอาการถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากแผลปริขอบทวารที่เกิดจากภาวะท้องผูกหรือลำไส้อักเสบเนื่องจากการติดเชื้อ ในขณะที่โรคเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบ ถุงผนังลำไส้อักเสบ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก - สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดในเพศหญิงหรือเพศชายมีความแตกต่างกันหรือไม่?
สาเหตุของการถ่ายเป็นเลือดในชายและหญิงคล้ายกัน แต่ในผู้หญิงบางรายอาจมีอาการระคายเคืองหรือเลือดออกทางทวารหนักมากขึ้นในช่วงที่มีรอบเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือความดันในอุ้งเชิงกรานที่สูงขึ้น - อาหารบางชนิดสามารถทำให้อุจจาระมีสีแดงได้หรือไม่?
อุจจาระอาจมีสีแดงหลังรับประทานอาหารบางชนิด เช่น บีทรูท แบล็กเบอร์รี มะเขือเทศ หรืออาหารที่มีสีผสมอาหารสีแดง นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็กและยาบางชนิดอาจทำให้อุจจาระมีสีดำได้
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
การถ่ายเป็นเลือดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่สาเหตุเล็กน้อยที่รักษาได้ง่าย ไปจนถึงโรคที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน การพบแพทย์โดยเร็วที่สุดคือก้าวแรกที่สำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น