กาแฟ (Coffee) ทำไมขม ประโยชน์ ผลข้างเคียง ปริมาณแนะนำ - Coffee: Benefits, Side Effects, Daily Amount?

กาแฟ (Coffee) ทำไมขม ประโยชน์ ผลข้างเคียง ปริมาณแนะนำ

กาแฟ (coffee) เครื่องดื่มยอดนิยมที่ชงจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้า หรือโรบัสต้าคั่วหรือบด มีสีเข้ม รสขม และมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสมซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และสมาธิ

แชร์

เลือกหัวข้อที่อ่าน


กาแฟ (Coffee)

กาแฟ (coffee) เครื่องดื่มยอดนิยมที่ชงจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้า หรือโรบัสต้าคั่วหรือบด มีสีเข้ม รสขม และมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสมซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และสมาธิ กาแฟมีต้นกำเนิดจากประเทศเอธิโอเปียและเยเมน การปลูกกาแฟ แพร่กระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน ปัจจุบัน กาแฟได้ถูกนำไปชงด้วยกรรมวิธีที่หลากหลาย เช่น ดริป เอสเพรสโซ โคลด์บรูว์ หรือเฟรนช์เพรส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่นิยมของนักดื่มกาแฟทั่วโลกด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นหอมกระตุ้นประสาทสัมผัส และคุณสมบัติที่ให้พลังงาน

จุดกำเนิดของกาแฟ

ตามตำนานเล่าว่า คาลดี คนเลี้ยงแพะชาวเอธิโอเปีย ค้นพบกาแฟโดยบังเอิญ หลังจากที่ได้เห็นแพะของเขากระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ ถึงขั้นกระโดดเด้งดึ๋ง ๆ ไปมา หลังจากได้แทะเล็มเมล็ดกาแฟเชอร์รีสีแดงป่า ในป่ากาแฟโบราณบนที่ราบสูงเอธิโอเปีย คาลดีจึงลองชิมดู แล้วจึงพบว่าตนเองตื่นตัวกว่าปกติ รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีพลังงานล้นเหลือ จนทำให้เขารู้สึกไม่อยากเข้านอน

คาลดี นำผลกาแฟเชอร์รีป่าไปให้บาทหลวงลองชิม บาทหลวงรู้สึกตื่นตัวผิดปกติ ท่านจึงคิดว่าลูกไม้สีแดงนี้ เป็นผลไม้ต้องห้าม ท่านจึงโยนเข้ากองไฟ แต่ไม่ทันที่จะเดินจากไป ท่านก็ได้กลิ่นกาแฟไหม้ไฟ ส่งกลิ่นหอมขจรขจาย ท่านจึงได้นำเมล็ดกาแฟที่ถูกเผาไหม้ ใส่ลงไปในเหยือกที่มีน้ำร้อนเพื่อเก็บรักษาและได้ลองนำมาดื่มดู จึงได้พบกับความมหัศจรรย์ของกาแฟที่ทำให้ท่านตื่นตัวและคงสมาธิได้ตลอดการสวดมนต์เย็นอันยาวนาน จากนั้น การดื่มกาแฟก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อ และแพร่กระจายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา

สายพันธุ์ กาแฟ พันธุ์ไทย - Thai coffee genus

กาแฟ พันธุ์ไทย สายพันธุ์อะไร

เกือบทั้งหมดของกาแฟ พันธุ์ไทย เป็นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าที่ส่วนใหญ่ถูกนำมาปลูกมากถึง 98% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดทางภาคใต้ที่เติบโตได้ดี เช่น ชุมพร ระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช และอีก 2% เป็นสายพันธุ์อาราบิก้า ซึ่งเติบโตได้ดีในจังหวัดทางภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และลำปาง

  1. อาราบิก้า (Arabica) ปลูกได้ดีในพื้นอบอุ่น อุณหภูมิ 15-25 องศาเซลเซียส มีกลิ่นหอมละมุน มีรสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย มีคาเฟอีนต่ำกว่าโรบัสต้า มีน้ำมันประมาณ 15-17% ที่เมื่อนำมาชง จะให้รสสัมผัสละเอียด เนียนนุ่มกว่าโรบัสต้า และมีปริมาณน้ำตาล 6-9% ซึ่งเมื่อผ่านการคั่วกำลังดี จะให้รสหวานจาง ๆ ตามธรรมชาติ
  2. โรบัสตา (Robusta) ปลูกได้ดีในพื้นที่ร้อน อุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส มีกลิ่นเข้มคล้ายกลิ่นดินหรือยางไม้ มีรสชาติเข้มและขมกว่า มีคาเฟอีนสูงกว่า มีน้ำมันประมาณ 10-12% ซึ่งเมื่อนำมาชงแบบเอสเพรสโซ่ เบลนด์ จะให้ฟองครีมที่หนาและแน่นกว่า และมีปริมาณน้ำตาล 3-7% ซึ่งหวานน้อยกว่าอาราบิก้า จึงสามารถคงรสเข้มของกาแฟได้เป็นอย่างดี

ทำไมกาแฟ มีรสขม

ในกาแฟ มีกรด chlorogenic สาร lactones และ phenylindanes ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ให้รสขมตามธรรมชาติ แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้กาแฟมีรสขม คือ ระดับการคั่วหรือบด ยิ่งกาแฟคั่วหรือบดเข้มมากเท่าไร น้ำมันในเมล็ดกาแฟก็จะยิ่งออกมามากขึ้น ความหวานก็ยิ่งน้อยลง และทำให้กาแฟมีรสชาติขมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความขมของกาแฟ ยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำที่ใช้ชง ระยะเวลาในการสกัด และคุณภาพของเมล็ดกาแฟ

ประโยชน์ของกาแฟดำ

กาแฟดำประโยชน์

คาเฟอีน สารประกอบอินทรีย์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ในกาแฟ ได้รับการวิจัยแล้วว่าส่งผลดีต่อสุขภาพมากมาย อาทิเช่น

  • ปรับปรุงความจำ กระบวนการรับรู้ และอารมณ์ คาเฟอีน สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญในกาแฟ ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยพัฒนาทักษะการรับรู้ การจดจำ และอารมณ์ ทั้งยังเพิ่มความตื่นตัว และสมาธิอีกด้วย
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด จากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า การดื่มกาแฟดำวันละ 2-3 แก้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มแก้วแรกในตอนเช้า ช่วยลดความเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง 
  • ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน จากผลการศึกษากลุ่มผู้ที่ดื่มกาแฟดำต่อเนื่องเป็นเวลานาน พบว่ากาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงกลุ่มโรคความเสื่อมของระบบประสาท เช่น ภาวะสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และลดความเสื่อมของเซลล์ประสาทบริเวณก้านสมอง ที่เป็นสาเหตุของโรคพาร์กินสัน
  • ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 งานวิจัยหลายฉบับ ชี้ให้เห็นว่าการดื่มกาแฟดำเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กาแฟ ช่วยลดความไวต่ออินซูลิน และช่วยการเผาผลาญกลูโคส
  • ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ในกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายหลายชนิด เช่น กรด chlorogenic กรด phenolic และ melanoidins สารเหล่านี้ ช่วยป้องกันภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative stress) ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านการอักเสบ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิดได้ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟมากเกินไป

แพทย์ด้านโภชนาการแนะนำว่าไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 4 แก้วต่อวัน (ปริมาณคาเฟอีนประมาณ 300-400 มิลลิกรัม) เพราะหากร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป อาจส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้

  • ระบบประสาทส่วนกลาง การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาด (Caffeine overdose) อาจทำให้เกิดรู้สึกกระสับกระส่าย วิตกกังวล นอนไม่หลับ ปวดหัว และในบางครั้งอาจถึงขั้นทำให้ชักได้
  • ระบบทางเดินอาหาร คาเฟอีนที่มากเกิน จะเข้าไปกระตุ้นน้ำย่อยและกรดในกระเพาะอาหารให้หลั่งออกมามากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลในลำไส้ 
  • ระบบไหลเวียนโลหิต คาเฟอีนกระตุ้นการทำงานของหัวใจและเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้นชั่วคราว ทำให้ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้น
  • ระบบทางเดินปัสสาวะ คาเฟอีนลดการดูดน้ำกลับขณะผ่านเข้าสู่ไต ทำให้ไตขับน้ำออกมามากขึ้น กระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น และทำให้แคลเซียมถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะมากกว่าปกติ จนอาจเกิดการสะสมเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และภาวะไตเสื่อม ไตวาย

ปริมาณคาเฟอีนแนะนำต่อวัน

ปริมาณคาเฟอีนแนะนำต่อวัน

แพทย์แนะนำปริมาณคาเฟอีนสำหรับผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี คือ ไม่เกิน 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน ปริมาณคาเฟอีนโดยประมาณของกาแฟที่ได้รับความนิยม/แก้ว คำนวนจาก กาแฟ 1 ช็อต ที่ใช้ผงกาแฟประมาณ 7-9 กรัม มีดังนี้

  • กาแฟดำ 80-100 มิลลิกรัมต่อแก้ว (240 มล.)
  • กาแฟสด 100 มิลลิกรัมต่อแก้ว (ประมาณ 148 มล.)
  • เอสเพรสโซ 63 มิลลิกรัมต่อช็อต (30 มล.)
  • กาแฟ dirty 63-75 มิลลิกรัมต่อช็อต
  • กาแฟ 3 in 1 80 มิลลิกรัมต่อซอง
  • กาแฟกระป๋อง 150-160 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง

ทั้งนี้ ปริมาณคาเฟอีนที่แน่นอน อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของเมล็ดกาแฟ วิธีการชง และขนาดของแก้วกาแฟ

คำแนะนำในการดื่มกาแฟ - Recommendations for Drinking Coffee

คำแนะนำในการดื่มกาแฟ

แพทย์ด้านโภชนาการแนะนำว่า ควรเลือกดื่มกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาลและนมข้นหวาน หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์ “ทางเลือกเพื่อสุขภาพ” หรือหากต้องการจำกัดน้ำตาลหรือไขมัน ให้เลือกสั่งสูตรไม่มีน้ำตาล สูตรหวานน้อย หรือสูตรแคลอรี่ต่ำ และควรดื่มกาแฟแต่พอดี ซึ่งจะช่วยให้สมองตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และมีสมาธิ และหากดื่มกาแฟที่ผสมนมข้นหวานและน้ำตาลแล้ว ก็ควรงดหรือลดอาหารหวาน มัน และทอดในมื้อนั้น

ทั้งนี้ ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรเลือกทานอาหารจากแหล่งแคลเซียมเสริม เช่น นม ปลาตัวเล็ก ๆ และผักใบเขียว เพื่อลดความเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากร่างกายได้สูญเสียแคลเซียมมากกว่าปกติ  และควรทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ดื่มน้ำเปล่าให้ได้ 8-10 แก้วต่อวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน

คำถามที่พบบ่อย

  • กาแฟเป็นสารเสพติดไหม
    แม้คาเฟอีนในกาแฟจะทำให้เราติดและมีอาการอยากเมื่อไม่ได้ดื่ม แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้จัดให้กาแฟเป็นสารเสพติดให้โทษเช่นเดียวกับ โคเคน หรือแอมเฟตามีน การติดกาแฟ ถูกจัดให้เป็นการเสพติดที่ไม่รุนแรงและสามารถลดและเลิกได้ โดยการค่อย ๆ ลดปริมาณการดื่มในแต่ละวันลงทีละน้อย และหันไปดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อยกว่า เช่น ชา เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวทีละนิด
  • กาแฟ specialty คืออะไร
    กาแฟ specialty คือ กาแฟคุณภาพพิเศษที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมล็ดกาแฟจากแหล่งต้นกำเนิด กาแฟ specialty เป็นกาแฟที่ได้รับดูแลพิถีพิถันทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี และมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การคัดสรร จนถึงกรรมวิธีการคั่ว บด กลั่น และชง ราคากาแฟ specialty จึงค่อนข้างสูง และมักใช้ระดับการคั่วอ่อนหรือความร้อนที่ไม่สูงนัก เพื่อให้ได้กาแฟเกรดพิเศษที่คงรสชาติและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เชื้อเชิญให้คนรักกาแฟได้ลิ้มลอง

เผยแพร่เมื่อ: 12 ก.ย. 2025

แชร์

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

  • Link to doctor
    พญ. ณิชา สมหล่อ

    พญ. ณิชา สมหล่อ

    • อายุรศาสตร์
    • อายุรศาสตร์โภชนศาสตร์คลินิก
    Adult Gastroenterology (Nutrition), โภชนาการคลินิก, อายุรกรรมทั่วไป, โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน