วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ปลอดภัยจริงหรือไม่
วัคซีนเอชพีวี (HPV vaccine) เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อและโรคที่เกิดจากไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก และหูดหงอนไก่
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับรองความปลอดภัยของวัคซีน HPV และแนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวี ในเด็กผู้หญิงอายุ 9-14 ปี เด็กผู้ชาย และผู้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ แม้ว่าปัจจุบัน จะมีการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 500 ล้านครั้ง แต่ก็มีหลายคนที่ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน และเกรงว่าจะเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมาภายหลัง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวัคซีนเอชพีวีมากขึ้น

วัคซีน HPV ประกอบด้วยเชื้อเป็นของไวรัส จริงหรือไม่
หลายคนสงสัยว่า ในวัคซีน HPV มีเชื้อเป็นของไวรัส HPV หรือไม่ ความจริงแล้วส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนนี้ก็คือ โปรตีนในชั้น “เปลือกหุ้ม” ของเชื้อไวรัส HPV แต่ละสายพันธุ์ (โดยไม่มีสารพันธุกรรมก่อมะเร็ง) โดยโปรตีนเหล่านี้ จะถูกสังเคราะห์ออกมาในปริมาณมาก แล้วรวมตัวกันเป็นอนุภาคที่มีลักษณะคล้ายกับเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์นั้น ๆ หลักการทำงานของวัคซีน สามารถอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ว่า เมื่อฉีดวัคซีน HPV เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปจับตัวกับเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันจำเพาะขึ้นมาเพื่อขจัดเชื้อ HPV
สำหรับคนที่กังวลว่า เปลือกหุ้มของเชื้อไวรัส HPV ที่นำมาใช้นั้นจะอันตราย ควรมีความเข้าใจให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาตร์การแพทย์ คือ ก่อนที่จะมีการนำวัคซีนมาใช้ จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบที่เข้มงวดหลายขั้นตอน กระบวนการเหล่านั้น ต้องใช้เวลานานหลายปี ในการศึกษาทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก จนมั่นใจได้ว่า มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้จริง ๆ และยิ่งไปกว่านั้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากองค์กรอนามัยโลกและองค์กรต่าง ๆ ในระดับนานาชาติรวมทั้งในประเทศไทยก่อนนำมาใช้
นอกจากโปรตีนดังกล่าวแล้ว ในวัคซีนเอชพีวี ยังผสม “สารเสริมการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน” เข้าไป สารเหล่านี้เป็นสารที่ผสมอยู่ในวัคซีนชนิดต่างๆ ที่ใช้กันมานานกว่า 70 ปีแล้ว เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน โปลิโอ ไข้สมองอักเสบ

ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน HPV
วัคซีนเอชพีวี มีความปลอดภัยและใช้กันทั่วโลกมานาน เนื่องจากถึงแม้จะได้รับการอนุมัติแล้ว ก็ยังมีการติดตามผลข้างเคียงในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้ที่ได้รับวัคซีน
องค์กรระดับนานาชาติ และองค์การอนามัยโลก ทำการเก็บข้อมูลและรายงานความปลอดภัยของวัคซีนอยู่เป็นระยะ ๆ โดยมีการศึกษาเกี่ยวกับ โรคทางอายุรกรรมต่างๆ อาทิ โรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคเอสแอลอี (SLE) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร กลุ่มอาการปวดเฉพาะที่ แบบซับซ้อน (CRPS) กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วเมื่อเปลี่ยนท่า (POTS) และกลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง/โรคสมอง และกล้ามเนื้ออ่อนแรง (CFS/ME) พบว่าโรคเหล่านี้ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการฉีดวัคซีนเอชพีวีแต่อย่างใด และไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิด ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยในสตรี รวมถึงกรณีที่คุณแม่ท้องได้รับวัคซีนนี้โดยไม่ตั้งใจ ก็ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณแม่หรือทารกในครรภ์
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาถึงผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน ซึ่งสรุปได้ว่าเป็นอาการที่พบได้น้อยและไม่รุนแรง โดยอาการไม่พึงประสงค์ที่พบนั้น อาจมีปวด บวม หรือแดง ตรงบริเวณที่ฉีด ซึ่งไม่รุนแรงและมักหายได้เอง บางรายอาจมี อาการปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ มึนงง เป็นลมหมดสติชั่วคราว แต่ก็พบได้น้อยมาก และไม่รุนแรง แพทย์แนะนำว่า หลังได้รับวัคซีนแล้ว ควรนั่งพักสังเกตอาการประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จากการหกล้ม หรือถ้าเกิดอาการผิดปกติไม่พึงประสงค์ ควรแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบเพื่อให้คำแนะนำและดำเนินการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป