หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน คืออะไร
หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน (Retinal Vein Occlusion: RVO) คือภาวะที่หลอดเลือดดำที่ทำหน้าที่ระบายเลือดจากจอประสาทตาเกิดการอุดตันบางส่วนหรือทั้งหมด ทั้งนี้จอประสาทตาทำหน้าที่แปลงแสงที่เข้าในตาของเราเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งไปยังสมองเพื่อสร้างภาพที่เรามองเห็น เมื่อหลอดเลือดดำในจอประสาทตาเกิดการอุดตันจะส่งผลให้เกิดอาการบวมของจอประสาทตาและอาจทำให้ความดันในดวงตาสูงขึ้น จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันหรือลดความสูญเสียในการมองเห็น
หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันมี 2 ประเภท
- หลอดเลือดดำหลักในจอประสาทตาอุดตัน (Central Retinal Vein Occlusion: CRVO)
- แขนงหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน (Branch Retinal Vein Occlusion: BRVO)
หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันพบได้บ่อยแค่ไหน
หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน เป็นโรคจอประสาทตาที่พบได้บ่อยรองจากโรคเบาหวานขึ้นจอตา
- หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน พบได้ 16 ล้านคนทั่วโลก
- หลอดเลือดดำหลักในจอประสาทตาอุดตัน พบได้ราว 1-4 คน ต่อ 1,000 คน
- แขนงหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน พบได้ราว 6-12 คน ต่อ 1,000 คน
อาการของหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันมีอะไรบ้าง
อาการของหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันมักพบในตาข้างเดียว
- มองเห็นไม่ชัดหรือสูญเสียการมองเห็นเฉียบพลันหรือค่อย ๆ แย่ลงภายใน 2-3 ชั่วโมงหรือ 2-3 วัน
- มองเห็นเส้นหรือจุดดำลอยไปมา
- ปวดลูกตา มักพบในผู้ที่มีอาการรุนแรง

หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันเกิดจากสาเหตุอะไร
หลอดเลือดแดงในจอตาของคนเราอาจแข็งตัวจากการเสื่อมสภาพตามอายุหรือการสะสมของหินปูน และอาจไปกดทับหลอดเลือดดำในจอตาได้ ส่งผลให้เยื่อบุผนังด้านในของหลอดเลือดดำเสียหาย ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้น ทั้งลิ่มเลือดและการไหลเวียนของเลือดที่ช้าลงจะส่งผลให้หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน
ปัจจัยใดที่เพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน
- อายุมากกว่า 40 ปี ทั้งนี้หลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันมักพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 50-60 ปี แต่พบได้ตั้งแต่คนอายุ 40 ขึ้นไป
- โรคเบาหวาน
- โรคต้อหิน
- ความดันโลหิตสูง
- ภาวะหลอดเลือดแข็ง
ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันมีอะไรบ้าง
- จุดรับภาพบวม (Cystoid Macular Edema) ทำให้ตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
- หลอดเลือดเกิดใหม่ในตา (Neovascularization of the Eye) มักเกิดขึ้นในม่านตา พบได้ราว 25% ของผู้ป่วย
- เลือดออกในตา (Vitreous Hemorrhage) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดเกิดใหม่ซึ่งเปราะและแตกได้ง่าย
- ต้อหินจากหลอดเลือดเกิดใหม่ (Neovascular Glaucoma) หลอดเลือดที่ผิดปกติอาจทำให้ความ
- จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment)
นอกจากนี้ผู้ป่วยมักมีความเสี่ยงที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงและภาวะหลอดเลือดแข็ง
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน
การตรวจสุขภาพตา
จักษุแพทย์จะขยายม่านตาและตรวจด้านหลังลูกตาเพื่อดูว่ามีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่
- สูญเสียการมองเห็น
- หลอดเลือดดำใหญ่หรือแขนงหลอดเลือดในจอประสาทตาอุดตัน
- จุดรับภาพบวม
- มีหลอดเลือดเกิดใหม่
- จอประสาทตาขาดเลือด
- เลือดออกในจอประสาทตา
การถ่ายภาพจอประสาทตา (Fundus photography)
แพทย์จะถ่ายภาพจอประสาทตเพื่อตรวจหลอดเลือดที่เกิดใหม่และปริมาณเลือดที่ออกในตา
การตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางกระจกตา (Optical coherence tomography)
ตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางกระจกตา เพื่อตรวจดูว่าจุดรับภาพบวมหรือไม่ และวัดความหนาของจอประสาทตาเพื่อช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
การฉีดสีเรืองแสง (Fluorescein angiography)
แพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปทางหลอดเลือดดำ เพื่อประเมินการไหลเวียนของเลือดไปยังจอประสาทตา
นอกจากนี้จักษุแพทย์อาจให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อดูระดับคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มเติม

วิธีการรักษาหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาภาวะหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันให้หายขาดได้ การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม รักษาภาวะแทรกซ้อน และควบคุมปัจจัยเสี่ยง
- การฉีดยาต้านการเจริญเติบโตของหลอดเลือด (Anti-VEGF Injections) เป็นการรักษาด่านแรกสำหรับผู้ป่วยที่จุดรับภาพบวม ทั้งนี้ VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) เป็นโปรตีนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของหลอดเลือด หากมีมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดหลอดเลือดใหม่ที่เปราะบางแตกง่าย ก่อนการฉีดยา แพทย์จะหยดยาชาเข้าไปในดวงตาก่อน ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดยาหลายครั้งในช่วง 1-2 ปีแรก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ยาที่ใช้ได้แก่ ยา Faricimab, Aflibercept, Bevacizumab และ Ranibizumab
- การฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการบวม อย่างไรก็ตามยาฉีดสเตียรอยด์อาจเป็นสาเหตุของต้อกระจกและความดันลูกตาที่สูงขึ้น แพทย์จึงมักแนะนำในผู้ป่วยเข้ารับการฉีดยาต้านการเจริญเติบโตของผนังบุหลอดเลือดเป็นวิธีแรก
- การยิงเลเซอร์ตา (Panretinal Photocoagulation: PRP) เพื่อลดการสร้างโปรตีน VEGF ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหลอดเลือดใหม่และเลือดออกในตา ช่วยให้ความดันลูกตาอยู่ในระดับปกติ
- การผ่าตัดวุ้นในลูกตา (Pars Plana Vitrectomy: PPV) เหมาะสำหรับผู้ที่จอประสาทตาลอกและผู้ที่มีเลือดในตานานกว่า 4 สัปดาห์หรือเลือดออกซ้ำ ๆ
- ยาลดความดันโลหิต ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล หรือจัดการกับโรคเบาหวาน เนื่องจากอาการเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดใหม่
วิธีป้องกันหลอดเลือดดำในตาอุดตัน
- การรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เน้นการบริโภคผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหลอดเลือด
- การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด
- การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- การงดสูบบุหรี่
- การตรวจสุขภาพประจำปี ช่วยประเมินความเสี่ยงและตรวจพบปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ
การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตัน
ผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดดำในจอประสาทตาอุดตันอาจรู้สึกเครียดจากการต้องไปพบแพทย์และเข้ารับการรักษาหลายครั้ง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการขับรถในช่วงที่รับการรักษา หากผู้ป่วยรู้สึกเครียดหรือทุกข์ใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือหาโอกาสพูดคุยกับผู้ที่ประสบปัญหาเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้วิธีจัดการกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
คำถามที่ควรถามแพทย์
- อะไรคือสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดในจอประสาทตาอุดตัน
- ภาวะหลอดเลือดในจอประสาทตาอุดตันจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือไม่
- ควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีใด มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
เมื่อพูดถึงหลอดเลือด น้อยคนนักที่จะนึกถึงหลอดเลือดที่จอประสาทตา ที่ถึงแม้จะเล็กแต่ก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากหลอดเลือดเกิดการอุดตันอาจส่งผลร้ายแรงต่อการมองเห็น การดูแลสุขภาพดวงตาและเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยให้ตรวจพบปัญหาต่างๆ เช่น ภาวะหลอดเลือดดำอุดตันในจอประสาทตาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ