การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG)
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG) คือ การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจข้ามบริเวณหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันรุนแรงไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ โดยการนำหลอดเลือดที่แข็งแรงจากส่วนอื่นของร่างกายมาทำการเชื่อมต่อเข้าหากันระหว่างด้านบนและด้านล่าง เพื่อช่วยให้เลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น ช่วยลดและบรรเทาอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือปวดเค้นหน้าอกในผู้ที่มีอาการโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันรุนแรง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือโรคหัวใจวายที่เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตกระทัน การผ่าตัดบายพาสหัวใจช่วยกู้ชีพ และช่วยให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติอีกครั้ง
ทำไมต้องผ่าตัดบายพาสหัวใจ?
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ หรือการผ่าตัดต่อหลอดเลือดหัวใจเป็นวิธีการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันรุนแรงหลายหลอดรวมกันซึ่งเกิดจากตะกรันไขมัน หินปูน หรือลิ่มเลือดสะสมที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจตีบแคบ อุดตัน และแข็งตัวจนทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เจ็บเค้นหน้าอก หัวใจวาย และอาจทำให้เสียชีวิต แพทย์โรคหัวใจจะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดบายพาสหัวใจให้กับผู้ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่นเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจอุดตันรุนแรง โดยการนำหลอดเลือดดำจากต้นขา หรือหลอดเลือดแดงจากปลายแขนหรือใต้กระดูกหน้าอกซ้าย มาทำทางเดินหลอดเลือดหัวใจใหม่เชื่อมต่อกันระหว่างหลอดเลือดแดงเอออร์ต้า (Aorta) ด้านบน และหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary artery) ด้านล่าง ข้ามบริเวณหลอดเลือดหัวใจอุดตันเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้สะดวกขึ้น ช่วยทุเลาอาการเจ็บแน่นหน้าอก และช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น
ข้อบ่งชี้การผ่าตัดบายพาสหัวใจ?
- ผู้ที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกรุนแรง เจ็บแน่นตรงลิ้นปี่ เจ็บตรงกลางหน้าอกเหมือนมีของหนักมากดทับ
- ผู้ที่มีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่ออก ใจสั่น เหงื่อออกมาก หน้ามืด วูบ หมดสติ หัวใจหยุดเต้น
- ผู้ที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกรุนแรงร้าวไปที่หัวไหล่ซ้าย แขน หลัง คอ ใต้คาง และกราม
- ผู้ที่มีอาการเจ็บเค้นหน้าอกคงที่ หรือเจ็บเค้นหน้าอกเรื้อรัง
- ผู้ที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
- ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดหัวใจอุดตันรุนแรง
- ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่าหลอดเลือดของหัวใจห้องล่างซ้ายตีบรุนแรง การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายไม่ดี
- ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดทั้งชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย
- ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันหลายหลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง
- ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ร่วม ที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด เช่น โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจรั่ว
- ผู้ที่มีอาการหัวใจวายที่แพทย์ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีขยายหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยบอลลูนและขดลวดถ่างขยาย เนื่องจากเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจฉีกขาด ตำแหน่งหลอดเลือดอุดตันมีความซับซ้อน หรือผนังหลอดเลือดแข็งตัวมาก
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ รักษาโรคอะไร?
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดไม่ปรากฎอาการชัดเจน
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- หลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง
- หลอดเลือดหัวใจตีบหลายหลอด
- ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
- ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
- ผู้ที่มีความเสี่ยงภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- โรคหัวใจวาย หรือภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การวินิจฉัยก่อนการผ่าตัดบายพาสหัวใจ มีวิธีการอย่างไร?
หากไม่ได้เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องกู้ชีพทันที แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจวาย หรือโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ โดยทำการตรวจร่างกายโดยเน้นไปที่หัวใจ ปอด ชีพจร และซักประวัติหากมีอาการดังต่อไปนี้
การซักประวัติ
- มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกรุนแรง เจ็บเค้นหน้าอก ใจสั่น เหนื่อยหอบ หายใจถี่เร็ว หน้ามืด หมดสติ
- มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือบุคคลในครอบครัวเดียวกันเป็นโรคหัวใจวาย หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
- มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไตวายเรื้อรัง
- เป็นผู้ที่แพทย์เคยวินิจฉัยพบความผิดปกติต่าง ๆ ของหัวใจจากการตรวจคัดกรองโรคหัวใจ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจร่วมกับการเดินสายพาน การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ หรือตรวจเอคโค่หัวใจ
การตรวจเลือด
- ตรวจวัดปริมาณเม็ดเลือดทุกชนิดและเกล็ดเลือด ตรวจวัดค่าไตหรือตรวจการทำงานของไต และวัดปริมาณเกลือแร่รวมในร่างกาย รวมถึงตรวจเลือดหาโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคไต ไขมันในเลือดสูง
ตรวจประเมินหัวใจ
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG/ECG
- ตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ หรือตรวจเอคโค่หัวใจ
- ตรวจสมรรภภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย
- ตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์
- การฉีดสีสวนหัวใจ
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ มีกี่วิธี?
การผ่าตัดบายพาสหัวใจมี 2 วิธี โดยศัลยแพทย์หัวใจจะเป็นผู้วินิจฉัยวิธีการผ่าตัดที่ดีและเหมาะสมกับผู้เข้ารับการผ่าตัดแต่ละบุคคลมากที่สุด ดังนี้
- การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยใช้เครื่องปอดหัวใจเทียมทำผ่าตัด (On-Pump CABG) เป็นวิธีการผ่าตัดโดยใช้เทคนิคหยุดการเต้นของหัวใจลงชั่วคราว และใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมในการทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแทน จนว่าการผ่าตัดบายพาสหัวใจจะแล้วเสร็จ วิธีการรักษาแบบ On-Pump CABG เป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่นิยมใช้รักษาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และได้รับการยอมรับในวงการศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอกว่าให้ผลการรักษาที่ดีทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
- การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดหัวใจเทียมทำผ่าตัด (Off-Pump CABG) เป็นวิธีการผ่าตัดโดยไม่ใช้เทคนิคหยุดการเต้นหัวใจและไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมในการสูบฉีดโลหิตชั่วคราว แต่ศัลยแพทย์หัวใจจะทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจขณะที่หัวใจยังคงเต้นอยู่โดยใช้เครื่องมือ Local Stabilizer ช่วยยึดเกาะหัวใจในจุดที่ทำการต่อเส้นเลือดให้หยุดนิ่ง ในขณะที่จุดอื่น ๆ ของหัวใจยังคงทำงานเป็นปกติ วิธีการรักษาแบบ Off-Pump CABG เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่าไม่เหมาะกับวิธีการผ่าตัดแบบ On-Pump CABG หรือวิธีการอื่น ๆ
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ มีขั้นตอนอย่างไร?
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ รพ.เมดพาร์คใช้มาตรฐานสากล (Gold standard) ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสัมฤทธิ์ผลในการรักษาเป็นสำคัญ โดยตลอดการรักษาผู้เข้ารับการผ่าตัดจะเข้าพักที่รพ. ประมาณ 1 สัปดาห์ และสามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้หากผลการรักษาเป็นไปด้วยดีและไม่มีอาการแทรกซ้อน
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
- ก่อนการผ่าตัด 1 สัปดาห์ แพทย์จะขอให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจงดยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ยา Aspirin ยา Ibuprofen ยา Naproxen หรือ ยา Plavix
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดรับประทานอาหารและยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- งดการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
- งดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนการผ่าตัด
- ทีมศัลยแพทย์หัวใจและวิสัญญีแพทย์ตรวจประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อธิบายขั้นตอนการผ่าตัดบาสหัวใจและมอบเอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัด
ขั้นตอนการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
- พยาบาลทำความสะอาดร่างกายตั้งแต่ลำคอจรดปลายเท้า และทายาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- วิสัญญีแพทย์เจาะเส้นเลือดให้น้ำเกลือ วางยาสลบ ใส่ท่อต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ และใส่สายสวนบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ศัลยแพทย์เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดบายพาสหัวใจ โดยการผ่าตัดตรงกลางหน้าอกตามแนวกระดูกสันอก
- ศัลยแพทย์ทำการค้นหาและคัดเลือกหลอดเลือดคุณภาพดีมาทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ โดยคัดเลือกจากหลอดเลือดแดงบริเวณใต้กระดูกหน้าอกซ้ายหรือจากปลายแขน หรือเลือดดำจากที่ขา
- ศัลยแพทย์นำหลอดเลือดที่ได้มาปลูกถ่าย โดยเชื่อมปลายด้านบนเข้ากับหลอดเลือดแดงเอออร์ต้า (Aorta) ตรงตำแหน่งขั้วหัวใจ และปลายด้านล่างเข้ากับหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary artery) เพื่อสร้างหลอดเลือดหัวใจใหม่ข้ามหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ช่วยให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น
- ศัลยแพทย์ตรวจประเมินการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดบายพาสหัวใจ และทำการเย็บปิดแผลที่หน้าอก โดยการผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง
ขั้นตอนหลังการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
- แพทย์จะย้ายผู้เข้ารับการผ่าตัดไปดูแลและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดพร้อมกับทีมสหวิชาชีพในห้อง ICU 1-2 วัน
- หากร่างกายตอบสนองต่อการผ่าตัดบายพาสหัวใจเป็นอย่างดี แพทย์จะให้ย้ายมาพักฟื้นต่อที่ห้องพักในหอผู้ป่วยทั่วไปอีก 5-7 วัน
- แพทย์จะให้ยาแก้ปวดทางหลอดเลือดดำเพื่อระงับความเจ็บปวดและยาป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน
- แพทย์จะคอยติดตามอาการ สัญญาณชีพ อัตราการเต้นหัวใจ ความดันโลหิต รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเป็นระยะ
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดเข้าโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ โดยการฝึกการหายใจเพื่อช่วยบริหารปอดและหัวใจให้แข็งแรง
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดเข้าโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายโดยการฝึกการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และฟื้นตัวเร็ว
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดเข้าโปรแกรมการปรับพฤติกรรมการกิน การเลิกบุหรี่และแอลกอฮอล์ และหันมาใส่ใจสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนให้เพียงพอ การผ่อนคลาย และการการออกกำลังกายเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นรอบด้าน
- แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อประเมินผลหลังรับการรักษา หากไม่พบความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะอนุญาติให้กลับบ้านได้
การดูแลรักษาตนเอง หลังการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
- ทานยาตรงเวลาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินอาการและติดตามผลการรักษา
- แผลผ่าตัดจะค่อย ๆ สมานติดกันภายใน 7 วัน ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถถอดผ้าพันแผลและสามารถอาบน้ำได้
- กระดูกสันอกจะค่อย ๆ ประสานติดกันภายใน 4-8 สัปดาห์ ส่วนอาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายดีใน 6-12 สัปดาห์
- ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ใจเต้นเร็ว มีรอยช้ำ ปวดบวม แน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งเป็นอย่างมาก ให้มาพบแพทย์ทันที
- งดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ อาหารไขมันสูง อาหารน้ำตาลสูง
- งดการยกของหนัก งดกิจกรรมที่ต้องออกแรงเป็นเวลา 2 เดือน และงดการขับรถ 6-8 สัปดาห์
- สามารถออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงได้หลังการผ่าตัดไปแล้ว 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละบุคคล
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดบายพาสหัวใจ เป็นอย่างไร?
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดบายพาสหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เลือดออก การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ภาวะสับสนเฉียบพลัน ไตวาย อัมพาต หัวใจวายหรือหัวใจตายเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีโอกาสเกิดต่ำมาก การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยรวมถือว่ามีความปลอดภัยและมีอัตราการประสบความสำเร็จในการผ่าตัดถึงร้อยละ 98
ข้อดีของการผ่าตัดบายพาสหัวใจ คืออะไร?
- ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหลายหลอด หรือหลอดเลือดหัวใจตีบในบางตำแหน่งที่มีความซับซ้อน
- ช่วยรักษาชีวิตของผู้ที่เป็นโรคหัวใจวาย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในผู้ที่แพทย์ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการขยายหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยบอลลูน และขดลวดถ่างขยายได้เนื่องจากเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจฉีกขาด
- ช่วยลดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจหอบ
- ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
- ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ร่นระยะเวลาในการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
- ช่วยให้มีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ รพ.เมดพาร์ค
ศูนย์หัวใจ รพ. เมดพาร์ค กรุงเทพ ประเทศไทย นำโดยทีมศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีประสบการณ์และความพร้อมในการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่มีความยากและซับซ้อนโดยการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ทันสมัย ผสานเทคนิคทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว และแม่นยำเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมด้วยโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายโดยนักกายภาพและทีมสหวิชาชีพ และการให้การติดตามผลหลังการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ร่นระยะเวลาในการพักฟื้น และช่วยให้ผู้รับการรักษามีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
- การผ่าตัดบายพาสหัวใจ มีโอกาสประสบความสำเร็จแค่ไหน?
จากผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจทั้งวิธี On-Pump CABG และ Off-Pump CABG มีอัตราความสำเร็จหลังการผ่าตัดสูงถึงร้อยละ 98 การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ลดอาการเจ็บแน่นหน้าอก และป้องกันอาการหัวใจวายได้ - การผ่าตัดบายพาสหัวใจ อันตรายไหม?
ด้วยเทคโนโลยีช่วยผ่าตัดระบบ AI ที่ทันสมัย ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ช่วยลดการกระทบกระเทือนต่อเส้นเลือดและอวัยวะข้างเคียง และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจตีบรุนแรง และโรคหัวใจขาดเลือดได้เป็นจำนวนมาก - การผ่าตัดบายพาสหัวใจ พักฟื้นกี่วัน?
โดยทั่วไป ผู้เข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจจะค่อย ๆ ฟื้นฟูร่างกายและหายดีภายใน 6-12 สัปดาห์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายของแต่ละบุคคล - การผ่าตัดบายพาสหัวใจ อยู่ได้กี่ปี?
จากผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจ (CABG) จำนวนมาก ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์โดยให้การการใส่ใจสุขภาพของตนเป็นอย่างดี ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร การใช้ชีวิต และออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวเกินกว่า 20 ปี