เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ปวดท้อง มีกี่ประเภท
- อาการปวดท้องโดยทั่วไป มีสาเหตุจากอะไร
- อาการปวดท้องแบบรุนแรง มีจุดสังเกตตำแหน่งใดบ้าง
- การวินิจฉัยอาการปวดท้อง มีวิธีการอย่างไร
- อาการปวดท้องแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์
ปวดท้อง (Abdominal pain)
ปวดท้อง (Abdominal pain) คือ อาการปวดที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งของท้อง หรือปวดทั่วบริเวณท้องระหว่างซี่โครงและกระดูกเชิงกราน อาการปวดท้องมีสาเหตุจากอวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้อง เช่น กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ตับ ตับอ่อน ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ หรืออวัยวะภายในสตรี เช่น มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ อวัยวะในอุ้งเชิงกราน หรืออวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ผนังช่องท้อง หน้าอก กระดูกเชิงกราน หรือหลัง นอกจากนี้ อาการปวดท้องยังอาจมีสาเหตุจากโรคร้าย เช่น มะเร็ง ที่อาจทำให้มีอาการปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ
ปวดท้อง สาเหตุจากอะไร
อาการปวดท้องมีสาเหตุจากพยาธิสภาพที่ผิดปกติภายในช่องท้องที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การย่อยอาหาร อาการบาดเจ็บ การอักเสบติดเชื้อ หรือโรคบางโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะหลักหรืออวัยวะอื่น ๆ ในช่องท้อง เช่น กล้ามเนื้อ หรือผนังช่องท้อง และอาจมีสาเหตุจากอวัยวะข้างเคียงอื่น ๆ
อาการปวดท้อง สามารถแบ่งออกได้เป็นแบบเฉียบพลัน แบบต่อเนื่อง และแบบเรื้อรัง อาการปวดท้องแบบเฉียบพลันเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตและจำเป็นต้องนำส่งแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยหาสาเหตุเบื้องต้น โดยพิจารณาจากตำแหน่งที่มีอาการปวดท้อง ความรุนแรงของอาการปวด ระยะเวลาการดำเนินโรค ความถี่ของอาการปวด และอาการร่วมอื่น ๆ
ปวดท้อง มีกี่ประเภท
ปวดท้องแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามระยะเวลาการดำเนินโรค ดังนี้
- ปวดท้องแบบเฉียบพลัน คือ อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน และมีระยะเวลาในการดำเนินโรคไม่เกิน 1 วัน อาการปวดท้องแบบเฉียบพลันอาจมีที่มาจากสาเหตุทั่วไป เช่น อาหารไม่ย่อย แก๊สในกระเพาะอาหาร หรือปวดประจำเดือนซึ่งสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องพบแพทย์ หรืออาจมีที่มาจากภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย ไส้ติ่งแตก หรือกระเพาะอาหารทะลุ ที่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแบบเร่งด่วน
- ปวดท้องแบบต่อเนื่อง คือ อาการปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆ อย่างต่อเนื่อง มีระยะเวลาการดำเนินโรคตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป แต่ไม่เกิน 6 เดือน
- ปวดท้องแบบเรื้อรัง คือ อาการปวดท้องที่มีระยะเวลาการดำเนินโรคมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป
อาการปวดท้องโดยทั่วไป มีสาเหตุจากอะไร
โดยทั่วไป อาการปวดท้องมักเกิดขึ้นชั่วคราวและไม่ร้ายแรง และอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร การมีประจำเดือน หรือการได้รับเชื้อไวรัสปนเปื้อนมากับอาหารและเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน อาการปวดท้องอาจแตกต่างกันในหลายรูปแบบ เช่น ปวดมวนท้อง ปวดท้องแบบไม่รุนแรง ปวดท้องแบบรุนแรง เสียดท้อง ปวดตะคริวที่ท้อง ปวดบิด หรือปวดท้องเป็นพัก ๆ อาการปวดท้องโดยทั่วไป มีสาเหตุดังนี้
- ความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร มักเกิดขึ้นหลังทานอาหาร หรือเกิดจากความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร ได้แก่ อาหารไม่ย่อย แก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องผูก ท้องเสีย แพ้อาหาร อาหารเป็นพิษ
- การอักเสบ ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองอวัยวะในระบบทางเดินอาหารและเกิดการอักเสบชั่วคราว เช่น ไวรัสลงกระเพาะ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อนเรื้อรัง หรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ระบบสืบพันธุ์สตรี อาการปวดท้องเป็นครั้งคราวในสตรี มีสาเหตุจากอวัยวะภายในของสตรี เช่น มดลูก ที่ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน หรืออาการปวดท้องในช่วงไข่ตก

อาการปวดท้องแบบรุนแรง มีจุดสังเกตตำแหน่งใดบ้าง
โดยทั่วไป ตำแหน่งที่มักมีอาการปวดท้องแบบรุนแรง สามารถแบ่งจุดสังเกตได้ 9 ตำแหน่ง ดังนี้
1. ปวดท้องข้างขวา เหนือสะดือ เยื้องไปทางขวาบน ใต้ชายโครงขวา
อวัยวะที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องบริเวณนี้ ได้แก่ ตับ ถุงน้ำดี ลำไส้ในบริเวณนี้ หรือไตข้างขวา โรคหรืออาการที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะในบริเวณนี้ได้แก่ ตับอักเสบ กรวยไตข้างขวาอักเสบ หรือนิ่วในไตข้างขวา และอาจเป็นสัญญาณของโรคนิ่วในถุงน้ำดี ผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงบางราย อาจมีอาการปวดท้องร้าวไปที่ไหล่ขวาทะลุหลังตรงใต้สะบักขวา ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วม อาการปวดท้องข้างขวา เหนือสะดืออาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นลมเนื่องจากอาการปวด โดยอาการปวดท้องที่บริเวณนี้มักเกิดขึ้นหลังทานอาหารไขมันสูง หรือหลังการทานอาหารมื้อใหญ่
2. ปวดท้องตรงกลาง เหนือสะดือ ใต้ลิ้นปี่
อวัยวะที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องบริเวณนี้ ได้แก่ กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น ตับอ่อน และถุงน้ำดี โรคหรืออาการที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะในบริเวณนี้ ได้แก่ กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน นิ่วในถุงน้ำดี หรือตับอ่อนอักเสบ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคและแยกโรค แพทย์จะตรวจวินิจฉัยโรคเพิ่มเติมจากโรคร่วมอื่น ๆ โดยการทำเอกซเรย์ช่องท้อง หรือการตรวจตับด้วยวิธีไฟโบรสแกน (FibroScan) เพื่อหาภาวะไขมันพอกตับ และพังผืดเกาะตับสาเหตุที่ทำให้เกิดพังผืดที่ตับที่นำไปสู่โรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับ นอกจากนี้ ผู้ที่ปวดท้องบริเวณนี้เป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคกระเพาะอาหาร ผู้ที่มีอาการปวดท้องรุนแรงตามด้วยอาเจียน อาจเป็นตับอ่อนอักเสบ ผู้ที่คลำได้ก้อนแข็ง หรือก้อนขนาดใหญ่ที่ตรงกลางท้อง เหนือสะดืออาจมีภาวะตับโต (Hepatomegaly) และอาจเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่ส่งผลให้มีอาการปวดร้าวมาถึงบริเวณนี้ได้เช่นกัน
3. ปวดท้องข้างซ้าย เหนือสะดือ เยื้องไปทางซ้ายบน ใต้ชายโครงซ้าย
อวัยวะที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องบริเวณนี้ ได้แก่ กระเพาะอาหาร ม้าม ตับอ่อน ไตข้างซ้าย หรือลำไส้ โรคหรืออาการที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะในบริเวณนี้ ได้แก่ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ม้ามแตก กรวยไตข้างซ้ายอักเสบ หรือนิ่วในไตข้างซ้าย โดยจะเริ่มมีอาการปวดอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ ปวดรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคแผลในกระเพาะอาหาร และโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ อาการปวดท้องบริเวณนี้ที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ได้แก่ ภาวะม้ามแตก ที่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดโดยเร็วที่สุด
4. ปวดท้องตรงกลาง ค่อนไปทางบั้นเอวข้างขวา
อาการปวดรุนแรงที่บริเวณนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ หากปวดบั้นเอวขวามากจนเหงื่อออกร่วมกับมีปัสสาวะปนเลือด อาจเป็นนิ่วในไต หากมีอาการปวดท้องที่บริเวณนี้ร้าวไปถึงหลัง มีไข้ หนาวสั่น หรือปัสสาวะมีสีขุ่นร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณและอาการของกรวยไตอักเสบ หากมีอาการปวดท้องบริเวณนี้ร้าวลงต้นขาอาจเป็นนิ่วในท่อไต และหากคลำได้ก้อนควรรีบพบแพทย์
5. ปวดท้องตรงกลาง ปวดท้องบิด รอบ ๆ สะดือ
อวัยวะในบริเวณนี้ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้อง ได้แก่ ลำไส้เล็ก โดยมากมีสาเหตุจากลำไส้เล็กอักเสบ ผู้ที่มีอาการปวดบิดมาก ๆ ที่กลางท้องแล้วย้ายลงมาปวดด้านขวาล่างร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กดแล้วเจ็บ หรือปวดจนทนไม่ไหว อาจเป็นอาการไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
6. ปวดท้องตรงกลาง ค่อนไปทางบั้นเอวข้างซ้าย
อาการปวดท้องรุนแรงที่บริเวณนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ หากปวดบั้นเอวซ้ายมากและมีเหงื่อออกร่วมกับปัสสาวะปนเลือด อาจเป็นนิ่วในไต หากมีอาการปวดท้องตรงกลางร้าวไปที่บั้นเอวซ้ายทะลุหลัง ร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น และปัสสาวะสีขุ่นร่วม อาจเป็นสัญญาณกรวยไตอักเสบ หากปวดท้องบริเวณนี้ร้าวลงต้นขาอาจเป็นนิ่วในท่อไต หากคลำได้ก้อนที่ท้องบริเวณนี้ควรรีบพบแพทย์
7. ปวดท้องข้างขวาล่าง บริเวณท้องน้อยขวา
อวัยวะที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องบริเวณนี้ ได้แก่ ไส้ติ่ง ลำไส้ในบริเวณนี้ รังไข่หรือปีกมดลูกข้างขวา โรคหรืออาการที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะในบริเวณนี้ ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือกรวยไตข้างขวาอักเสบ หากกดแล้วเจ็บ อาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ หากปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวลงต้นขา อาจเป็นกรวยไตอักเสบ หรือนิ่วในท่อไต หากมีไข้ หนาวสั่น และมีอาการตกขาวร่วม อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบ และหากคลำได้ก้อนที่ท้องบริเวณนี้ อาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์
8. ปวดท้องน้อยหน่วง ๆ บริเวณใต้สะดือ เหนือหัวหน่าว
อวัยวะที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องในบริเวณนี้ ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะ และมดลูก หากมีอาการปวดโดยเฉพาะเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะกะปริบกะปรอย อาจเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ในเพศหญิง หากมีอาการปวดเกร็งขณะมีประจำเดือน มีไข้ มีตกขาวร่วม หรือมีอาการปวดท้องน้อยหน่วง ๆ เรื้อรัง อาจเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ หรือเนื้องอกมดลูก ควรรีบพบแพทย์
9. ปวดท้องข้างซ้ายล่าง บริเวณท้องน้อยซ้าย
อวัยวะในบริเวณนี้ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้อง ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ส่วนซ้าย ท่อปัสสาวะ ท่อนำไข่ หรือรังไข่ หากมีอาการปวดท้องที่บริเวณนี้เป็นอย่างมาก ให้สังเกตอาการร่วม เช่น อาการถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ คล้ายกับมีอาการท้องเสียร่วม อาจเกิดจากความผิดปกติที่บริเวณลำไส้ใหญ่ หรือลำไส้ใหญ่อักเสบ หากปวดท้องเกร็งเป็นระยะร้าวลงต้นขาซ้าย อาจเป็นนิ่วในท่อไต หากคลำได้ก้อนที่ท้องด้านซ้ายล่างร่วมกับมีอาการท้องผูกเป็นประจำ อุจจาระปนมูกเลือด มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย และน้ำหนักลด อาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในเพศหญิง หากมีอาการปวดท้องซ้ายล่างร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น หรือมีตกขาวร่วม อาจเป็นสัญญาณของปีกมดลูกซ้ายอักเสบ

การวินิจฉัยอาการปวดท้อง มีวิธีการอย่างไร
แพทย์จะซักประวัติเพื่อหาสาเหตุถึงที่มาของอาการปวดท้อง เช่น ปวดท้องตรงไหน มีอาการปวดท้องมานานแค่ไหน ปวดท้องเพียงตำแหน่งเดียวหรือมีอาการปวดท้องและเคลื่อนที่ไปอีกตำแหน่งหนึ่ง ปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือปวดท้องต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงสอบถามอาการข้างเคียงอื่น ๆ ร่วมกับอาการปวดท้อง โดยแพทย์จะซักประวัติหากมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดท้องมากกว่า 6 ชม. โดยอาการยังไม่ทุเลา
- ปวดท้องจนไม่สามารถทานอาหารได้ ทานอาหารไม่ลง
- ปวดท้อง และอาเจียนร่วม มากกว่า 3-4 ครั้ง
- มีอาการปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
- ปวดท้องรุนแรงจนไม่สามารถนอนหลับได้
- ปวดท้องร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอด
- ปวดท้องและมีไข้ หนาวสั่นร่วม
- ปวดท้องและมีอาการเหนื่อยหอบร่วม
- ปวดท้องและมีอาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ
- ปวดท้องร้าวไปที่หลัง หรือสะบักไหล่
อาการปวดท้องแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์
อาการปวดท้องที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและทำการรักษาโดยเร็ว ได้แก่ ผู้ที่มีอาการปวดท้องแบบเรื้อรัง รุนแรง ประสพอุบัติเหตุรุนแรงหรือได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ร่วมกับอาการปวดท้อง
- เป็นไข้ถาวร คลื่นไส้ หรืออาเจียน
- อุจจาระ ปัสสาวะ หรืออาเจียนปนเลือด
- บวมที่บริเวณปวด หรือกดแล้วเจ็บที่บริเวณปวดอย่างมาก
- ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- อาการปวดท้องร้าวไปที่ส่วนอื่นของร่างกาย
- หายใจหอบถี่ เหนื่อยมาก หรือมีอาการปวดท้องมากขึ้นเมื่อออกแรง

ค้นหาตำแหน่งปวดท้องได้ถูกต้อง รักษาอาการปวดท้องได้ตรงจุด
อาการปวดท้องในแต่ละตำแหน่งมีสาเหตุ อาการ และความรุนแรง ตลอดจนวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน การซักประวัติอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาได้ถูกต้อง ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนต้น (Upper GI endoscopy) การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) หรือการตรวจไขมันและพังผืดที่ตับด้วยไฟโบรสแกน (FibroScan) ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือปวดท้องรุนแรงเฉียบพลัน ควรพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจบ่งชี้ถึงโรคร้ายแรง เช่น นิ่วในไต เนื้องอก หรือมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร การได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน และนำไปสู่การรักษาอาการปวดท้องได้อย่างตรงจุด