หมอสูติฯกระซิบ รวมเรื่องเข้าใจผิด เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เป็นหนึ่งในโรงมะเร็งนรีเวชอันดับต้น ๆ ที่พบได้บ่อย และยังเกิดได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เพราะเป็นมะเร็งที่มีปัจจัยการเกิดแตกต่างจะมะเร็งอื่น ๆ ทำให้หลายคนเข้าใจผิด หรือมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง พญ. อสมา วาณิชตันติกุล สูตินรีแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช และมะเร็งวิทยานรีเวช จะมาให้ข้อมูลที่ทั้งถูกต้องและมีประโยชน์
มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไม่ใช่กรรมพันธุ์
แม้ว่ามะเร็งส่วนใหญ่ มีเรื่องของพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้ แต่สาเหตุของ มะเร็งปากมดลูก นั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma virus) ในอัตราถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การป่วยด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก จึงไม่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม

จริงไหม… ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เท่ากับไม่เสี่ยงมะเร็งปากมดลูก ?
ยังมีหลายคนเข้าใจว่า การไม่มีเพศสัมพันธ์ จะไม่มีทางเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งคุณหมออสมาได้อธิบายไว้ว่า ‘เพศสัมพันธ์เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งปากมดลูก ในรายที่ไม่มีเพศสัมพันธ์ ก็ยังมีโอกาสเป็นได้อยู่’
แม้ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่ในทุก ๆ ครั้งที่มีการรุกล้ำช่องคลอด ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อ HPV ได้ เช่น การใช้เซ็กส์ทอย การใช้นิ้วสอดใส่ หากดูแลเรื่องความสะอาดได้ไม่ดี ก็อาจติดเชื้อ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ แต่โชคดีที่ไวรัสชนิดนี้สามารถป้องกันได้ เพียงแต่ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ก็จะลดโอกาสการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้แล้ว

ผู้ชายไม่มีปากมดลูก… ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน ใช่ไหม ?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า เชื้อไวรัส HPV ไม่ได้ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้เพียงอย่างเดียว ดังนั้น ผู้ชายที่ไม่มีปากมดลูก ก็อาจติดเชื้อและเป็นโรคอื่น ๆ ได้ ปัจจุบัน ยังไม่มีการตรวจหาเชื้อ HPV ในผู้ชายที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา จึงยังไม่มีการตรวจคัดกรองที่เป็นมาตรฐานอย่างการตรวจหาเชื้อ HPV ในผู้หญิง แต่หากคุณผู้ชายสังเกตเห็นหูดตามร่างกาย รวมถึงบริเวณอวัยวะเพศและถุงอัณฑะ อาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อ HPV จึงควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม และในบางราย แพทย์อาจทำการตรวจแปปสเมียร์ของทวารหนักเพื่อคัดกรองหาสัญญาณก่อนเป็นมะเร็งและมะเร็งทวารหนัก
นอกจากมะเร็งปากมดลูกแล้ว เชื้อ HPV ยังเป็นสาเหตุของการเกิด หูดหงอนไก่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งในช่องปากและคอ หรือมะเร็งในองคชาตได้ การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันการนำพาเชื้อจากผู้ชายมาสู่ผู้หญิงได้อีกด้วย จึงแนะนำให้ทุกเพศ รวมไปถึง LGBTQ+ ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV
โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ หรือช่วงอายุ 11-12 ปี ตามคำแนะนำทั่วไป ซึ่งหากเป็นเด็ก (อายุ 9-14 ปี) จะต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม หากโตขึ้นมาหน่อย (อายุ 15 ปีขึ้นไป) จะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ซึ่งจะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสไปได้ยาวนาน